The world will bring you back here

737385.jpg

The world will bring you back here 

So I wait for you, where you walked away 

➰( Jungkook x Namjoon )

#บังทันวีคลี่ • W.23 Sad Ending

 

 

ความเชื่อที่คนเคยบอก
ว่าโลกหมุนรอบตัวเอง
เหมือนเวียนเปลี่ยนฤดู
วนกลับมาที่เดิม

ฉันจึงรอเธออยู่ ตรงที่ที่เธอเดินจาก
จากความเชื่อที่ฉันได้รู้จัก
ต้องหมุนวนเธอกลับมา

 

 

 

โลกของเราไม่เคยหมุนวนกลับมาที่เดิมได้อีกครั้งหลังจากโลกทั้งโลกของคุณหายไป มันยังคงเป็นผมที่พยายามสร้างโลกที่มีคุณเอาไว้กอบโกยความรู้สึกที่มีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมยังคงรอให้คุณที่เคยจากไปกลับมา กลับมายังที่ๆคุณทิ้งผมเอาไว้

“จะไปแล้วหรอ?”  เสียงทุ้มที่พยายามข่มความรู้สึกตัวเองเอาไว้ข้างในเอ่ยถามออกมาพร้อมหัวใจที่แทบจะตาย

“อืม” คำสั้นๆที่พูดออกมาอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

“ไม่ไปไม่ได้หรอครับ? พี่นัมจุน” เด็กน้อยโอบกอดคนรักของตนไว้จากด้านหลังแผ่นหลังกว้างของนัมจุนเลยถูกใช้เพื่อเช็ดน้ำตา แขนแกร่งของเด็กชายอายุ 19 กอดรั้งไว้ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้

“พี่ต้องไปเขารอพี่อยู่ ขอโทษนะที่พี่เป็นคนผิดสัญญาเอง”  บาดลึกลงไปถึงขั้วหัวใจ ใจดวงน้อยกำลังถูกทำลายไม่เป็นชิ้นดี อยากจะกอดอีกคนให้นานที่สุดแต่มันเป็นความเปล่าประโยชน์ที่ชั่งน่าขัน เมื่อคนที่เคยบอกว่ารักกำลังเปลี่ยนใจไป

“ขออีกสักพักนะผมขอกอดพี่อีกสักพัก”

ประโยคสุดท้ายที่คุณทิ้งมันไว้ไม่เพียงแต่จะทำให้ผมตายทั้งเป็นแต่คุณรู้อะไรไหมคุณต่างหากที่กำลังฆ่าผมช้าๆโดยไร้ความปราณี

ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อเมื่อไม่มีคุณแต่ผมยังคงต้องเดินไปให้ได้ ถึงจะเจ็บจะเหงาไปในบางที ถึงผมจะต้องโอบกอดตัวเองแล้วร้องไห้ออกมาก็ไม่เป็นไร เพราะคุณจะไม่มีวันกลับมาปลอบโยนผมได้อีกแล้ว

 

 

 

ชายหนุ่มในวัยยี่สิบปลายๆกำลังเดินอยู่บนถนนสายหลักของเมืองในยาค่ำคืน ผู้คนมากมายกำลังกลับบ้านหลังจากทำงานกันมาทั้งวันเบียดเสียดกันไปหมดในหมู่ผู้คนมากหน้าหลายตา จะว่าอึดอัดก็ได้ที่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แต่จะทำไงได้ก็นี่มันใจกลางเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหล ทั้งแสงไฟเสียงเพลงและเสียงการจราจรยังคงดำเนินแม้ว่าท้องฟ้ากำลังจะมืดลงทุกทีแต่การตลาดใจกลางโซลยังคงดำเนินเป็นเรื่องปกติ ขายาวก้าวผ่านถนนคนเดินออกมายังโซนร้านอาหารข้างทาง เสียงท้องร้องบ่งบอกได้ชัดว่าเขากำลังหิวขนาดไหน ทำงานทั้งวันแถมยังไม่ได้ลงไปกินมื้อกลางวันก็เพราะหัวหน้าของเขานั้นแหละที่ค่อยแต่จะสั่งงานจนเขาแทบไม่มีเวลาปลีกตัวไปไหนขนาดจะเข้าห้องน้ำ เขายังต้องกลั้นมันไว้เพื่อให้งานที่สุมเต็มโต๊ะเสร็จไปสักที พอรู้ตัวอีกที่มันก็ล่วงเลยเวลาอาหารเที่ยงมาตั้งนานแล้ว

 

 

 

“ทำไมไม่กินข้าวสักทีจองกุก” ชายหนุ่มยืนกอดอกบ่นเขามามากกว่าชั่วโมงแล้ว เพราะว่าเขาเองมัวแต่ทำงานจนลืมเวลาแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะทำงานให้มันเสร็จก่อน

“นัมจุนเหลืออีกเดียวเองครับ นะเดี๋ยวเสร็จแล้วจะไปกิน” ดวงตากลมอ้อนคนอายุมากกว่าที่ยืนอยู่ด้านข้าง ทำท่าคล้ายลูกแมวตัวน้อยๆแอคแทคแบบนี่ที่ทำให้นัมจุนเองก็ทำตัวไม่ถูกทุกทีได้แต่ตอบรับส่งๆไปเพราะความเขินว่าให้อีกครึ่งชั่วโมงถ้ายังไม่มากินข้าวเขาจะงอนจริงๆ เจ้าตัวสั่งอย่างที่ว่าเสร็จก็เดินออกไป จองกุกเลยรีบทำงานที่เหลือไม่กี่อย่างให้เสร็จอย่างเร็วรวดแต่ก็เลยครึ่งชั่วโมงที่นัมจุนสั่งไว้อยู่ดี

เด็กหนุ่มเดินออกจากห้องทำงานรีบตรงมายังห้องครัวเห็นคนรักนั่งหน้าหงอยอยู่ที่โต๊ะกินข้าว อ่า.. นัมจุนคงจะโกรธเขาแล้วแน่ๆ นาฬิกาตอนนี้ทำงานดังกว่าเสียงทั้งหมดในห้องเสียอีก เก้าอี้ไม้ฝั่งตรงข้ามนัมจุนถูกเลื่อนโดยกระต่ายตัวใหญ่ จองกุกยิ้มให้กับนัมจุนหนึ่งทีเพื่อดูเชิง “นัมจุนอ่าเลยมาแค่ชั่วโมงเดียวเอง”

ผู้เป็นพี่เบนสายตาออกจากใบหน้าจองกุกดูก็รู้เลยว่างอนเขามากแน่ๆ

“นัมจุนครับขอโทษนะที่ปล่อยให้รอ”

“………”

“นัมจุนอ่าพี่จะไม่คุยกับผมจริงๆหรอ” ใจเริ่มเสียจากที่เมื่อกี้ยังพยายามใจดีสู้เสืออยู่เลย

“……….” ยังคงเป็นความเงียบที่ตอบกลับมาแทน นัมจุนลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารและกำลังจะเดินออกจากห้องครัว แต่ก็ถูกรั้งไว้ด้วยแขนแกร่งของจองกุกถึงน้องจะเตี้ยกว่าเขาไม่กี่เซนแต่ว่าเรื่องกำลังเนี่ยเยอะกว่านัมจุนอยู่พอสมควร

“จะหนีผมแบบนี้ได้ไงยังอ่ะนัมจุน”

“ก็บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าให้มากินก่อน บอกไปตั้งแต่แรกแล้วด้วยก็ไม่ยอมฟังกัน”

“มากอดหน่อยจะได้หายงอน”

“แค่นี้คิดว่าพี่จะหายงอนหรอจองกุก”

“ยังไม่ลองเลยจะรู้ได้ไง” ไม่ว่าเปล่าเขายังถือวิสาสะกอดคนตัวสูงกว่าซะแน่น แถมยังหอมแก้มกลมๆนั้นตั้งสองรอบ ไม่รู้ว่านัมจุนจะหายงอนไหมแต่เขาแค่อยากสัมผัสคนตัวสูงกว่าก็เท่านั้นเอง

เมื่อก่อนตอนที่มีนัมจุนเขาคงจะโดนบ่นยาวเป็นชั่วโมงแน่ๆ แต่ตอนนี้ไม่มีใครบ่นให้ฟังแบบนั้นแล้ว

 

 

 

ตัวจองกุกยังคงเดินเรื่อยเปื่อยในถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนถนนเส้นเดิมที่เขาเคยผ่านมันไปด้วยกันกับนัมจุนตอนนี้เขาเองก็ไม่ต้องรีบร้อนกลับบ้านเท่าไร วันศุกร์เป็นวันที่เขาจะเดินไปบนถนนของความทรงจำเรื่อยๆมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่นัมจุนทิ้งเขาไว้พร้อมความจำดีๆ ถึงมันจะผ่านไปนานแล้วก็ตามแต่เขาไม่อยากลืมว่าตอนมีนัมจุนอยู่ด้วยมันดีขนาดไหน

 

 

 

 

สมุดเลคเชอร์และอุปกรณ์เครื่องเขียนไม่กี่ชิ้นถูกจับยัดใส่กระเป๋าแบบไม่ค่อยเป็นระเบียบตามฉบับของผู้ชาย นักศึกษาหลายคนทยอยออกจากห้องหลังจากคลาสเย็นเป็นอันเสร็จสิ้น  ร่างสูงโปร่งก็กำลังจะออกจากห้องเหมือนคนอื่นๆแต่ก็ถูกเพื่อนตัวเองรั้งไว้เสียก่อน

“รีบไปไหนมึง?”

“นัมจุนรออยู่ ทำไมมึงมีอะไร” เด็กหนุ่มพยายามจะรีบจบบทสนทนาให้จบโดยเร็วที่สุด

“ก็เปล่าอ่ะถามเฉยๆ”

“เอองั้นเรื่องของมึงเถอะกูไปแล้ว” แต่ก็ยังไม่วายโดนเพื่อนตัวดีรั้งไว้อีกรอบ “อะไรของมึงเนี่ยยูคยอมกูรีบ”

เพื่อนตัวดียื่นกล่องของขวัญเล็กๆให้เขา กล่องของขวัญที่ถูกห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลเรียบๆพร้อมกับการ์ดใบเล็กที่มากับกล่องด้วย เขาเลิกคิ้วขึ้นเป็นการถามว่านี่เป็นของขวัญของใคร

“ให้พี่นัมจุนของมึง”

“ให้ทำไม? ใครให้มึงหรอ” ยูคยอมส่ายหน้า ไม่ได้จากมันแล้วจากใครวะ

“รุ่นพี่ปีสี่คนนึงเอามาให้กู”

“อ่าฮะเดี๋ยวกูเอาไปทิ้งเอง กลับบ้านดีๆมึง”

เขารับของขวัญมาและเดินออกจากห้อง พลิกกล่องไปมาก็เปิดดูการ์ดมันไม่มีอะไรมีแค่ลายมือไก่เขี่ยที่เขียนแค่ว่า คิมซอกจิน’  “ใครวะ” รุ่นพี่ปีสี่ชื่อคิมซอกจินแม่งจะมีความสำคัญอะไรกับแฟนเขามากมายอะไรขนาดนั้นถึงจะต้องส่งของขวัญมาให้ผ่านเพื่อนเขา จะจีบแฟนเขาก็ยังไม่กล้าเลยอย่าหวังว่าอะไรที่ส่งให้จะถึงมือนัมจุนเลย จองกุกคิดมันอย่างไม่ใส่ใจและทิ้งกล่องของขวัญลงในถังขยะใกล้ตึกคณะแพทย์

สองเท้าก้าวผ่านตึกในมหาลัยอย่างเร่งรีบก็พบกับร่างคุ้นเคยที่รอเขาอยู่หน้ามหาลัย รอยยิ้มพร้อมกับลักยิ้มทำให้เรี่ยวแรงที่หายไปตลอดวันกลับมาอีกครั้ง

“รอนานไหม?” นัมจุนแค่ส่ายหน้า

“กลับบ้านกัน”  มือหนาของจองกุกเอื้อมมาหยิบกระเป๋าที่สะพายอยู่บนไหล่ของนัมจุนไปถือไว้เอง “ถือให้เพราะเห็นว่าวันนี้น่ารักนะ”

นัมจุนหยิกเข้าที่เอวเมื่อประโยคที่เพิ่งได้ยินมันทำให้เขาใจเต้น “น่ารักแค่วันนี้หรอหืมจอนจองกุก”

“จริงๆก็ทุกวันนั้นแหละที่พี่น่ารัก อยากจะฟัดพี่ทุกวันด้วยซ้ำ” พร้อมกับกอบกุมมือของอีกคนไว้แน่น ไม่มีบทสนทนาต่อจากนี้มีแค่เพียงผู้ชายสองคนกำลังใจเต้นอยู่เงียบๆ มันสั่นไหวทุกครั้งเหมือนกับครั้งแรกที่เคยเป็น

 

 

เมื่อก่อนจะมีพี่ที่มาคอยรอผมกลับบ้าน แต่ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้วผมเลยต้องเดินกลับคนเดียวบนถนนที่ไม่มีพี่

 

 

 

 

ลมกำลังพัดมาและท้องฟ้าส่งเสียงร้อง ฝนกำลังจะตกในไม่ช้าจองกุกเลยต้องหาที่หลบฝนจากที่เขาว่าจะเดินกลับบ้านเรื่อยๆแต่ตอนนี้ต้องมาติดอยู่ในร้านกาแฟที่นัมจุนชอบมากิน บรรยากาศยังคงเหมือนเดิมกับทุกทีที่เคยผ่านตั้งแต่วันที่นัมจุนไม่อยู่เขาก็ไม่เหยียบเข้ามาอีก พนักงานคนเดิมไม่อยู่แล้วก็มันผ่านไปตั้งแปดปีแล้วนี่อะไรๆก็ต้องเปลี่ยน มีแต่เขานั้นแหละที่ยังไม่เปลี่ยน สายตาสะดุดให้กับมุมเดิมที่เคยมาด้วยกัน มันยังคงว่างเปล่าเหมือนกับตัวของเขา จองกุกเดินตรงไปที่โต๊ะมุมที่สวยที่สุดของร้าน มุมที่อยู่ติดกับกระจกใสมองเห็นทุกอย่างของด้านนอกฝนตกลงมาแล้วเขาก็ไม่มีอะไรทำสั่งโกโก้ปั่นไม่หวานมานั่งกินกับการเข้าแอพนกสีฟ้าดูความเป็นไปของคนในไทม์ไลน์

“ขอนั่งด้วยได้ไหม?” ประโยคคำถามของใครอีกคนทำให้จองกุกเงยหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าที่แสนจะคิดถึง รอยยิ้มที่อยากจะเห็นอีกครั้ง น้ำเสียงที่อยากจะได้ยินในตอนที่ตื่น นัมจุนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วในตอนนี้

“ตกใจขนาดนั้นเลยหรอ” น้ำเสียงที่ดูสบายดีของอีกคนทำใจเขากระตุกไปหนึ่งที ดวงตากลมมองสำรวจทั่วร่างกายของอีกคน ไม่ได้ฝัน

“เปล่าครับ ดีใจต่างหาก”

บทสนทนาดูเมื่อจะหยุดไป

แต่หัวใจเขายังคงเต้นรัว

เหมือนครั้งแรกที่เจอ

“แล้วนัมจุนมาทำอะไรแถวนี้?”

“รอซอกจินน่ะ เขามาทำธุระแถวนี้”

ตอนแรกจองกุกคิดว่าเขาจะลืมไปแล้วว่าความเจ็บปวดเป็นยังไงแต่เปล่าเลยเขายังคงไม่เคยลืมและเมื่อมันถูกสะกิดด้วยถอยคำเล่านั้นแผลที่ดูเหมือนจะปิดและจะหายดีก็ถูดเปิดอีกครั้ง

“แล้วนายล่ะมาทำอะไรรอแฟนหรอ” น้ำเสียงของนัมจุนยังคงสดใส เปรียบเหมือนยาพิษแสนหวานที่กำลังจะฆ่าเขาให้ตายเป็นครั้งที่สอง

“ครับเขาไปซื้อของผมก็เลยมานั่งรอในนี้” ใครว่าล่ะผมยังลืมพี่ไม่ได้เลยจะให้ผมมีใครที่ไหนได้

“ดีแล้วที่นายหาคนดีๆได้พี่ก็ดีใจด้วย” พี่ต่างหากที่ยังดีที่สุดสำหรับผม ถึงอยากจะร้องไห้แต่ก็คงต้องยิ้มออกมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่เป็นอะไร

บทสนทนาในเรื่องต่างๆยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ มีแต่นัมจุนที่เป็นฝ่ายถาม เพราะจองกุกไม่อยากรู้ว่านัมจุนมีความสุขแค่ไหนตอนไม่มีเขา ฝนหยุดตกแล้วแต่ในใจเขากำลังร้องไห้ และดูเหมือนว่าการสนทนาตลอดครึ่งชั่วโมงกำลังจะหยุดลง

“อือฉันอยู่ที่ร้านกาแฟข้างๆตึกน่ะ มารับได้เลยรออยู่นะ”

จองกุกรู้ว่ามันจะต้องจบลง ยังไงเขายังคงต้องไปไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ไม่สามารถหยุดเรื่องราวทั้งหมดไว้ได้

“พี่ต้องไปแล้วนะจองกุก โชคดีนะยังไงไว้เจอกันใหม่” นัมจุนพูดประโยคสุดท้ายด้วยรอยยิ้มสดใสพร้อมทั้งเดินจากเขาไปเหมือนวันนั้น

“ไม่ไปได้ไหม ผมคิดถึงพี่” ประโยคบอกเล่าที่ไม่มีคนฟังจองกุกกำลังจะร้องไห้ เหมือนอย่างวันนั้นเขาพยายามมาโดยตลอด คิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอที่จะลืมทุกอย่างได้แล้ว แต่ไม่เลยเปล่าประโยชน์ เขารู้แล้วว่าเขาทำไม่ได้ถึงแม้จะพยายามแค่ไหน

 

คอนโดขนาดกลางที่มืดมิดสว่างขึ้นเจ้าห้องกลับมาพร้อมกับความรู้สึกที่ยังคงค้างคา เหมือนเดิมทุกอย่างตัวเขา ห้องนี้ ความทรงจำ ความรู้สึกที่จองกุกมีต่อนัมจุน แต่มีแค่นัมจุนที่เปลี่ยนไป เขากำลังร้องไห้แม้ว่าจะพยายามเท่าไรน้ำตาเจ้ากรรมยังคงไหล ไม่สมกับที่เป็นผู้ชายเลยกอดตัวเองอีกครั้งให้กับความพ่ายแพ้

โลกของนัมจุนยังคงเดินต่อไป

ต่างจากโลกของเขามันหยุดลง

เวลาของเขามันหยุดไว้ตอนที่มีนัมจุนอยู่ด้วย

ความเชื่อที่ว่าสักวันเขาจะลืมนัมจุนได้มันเป็นเพียงเรื่องโกหก

เรื่องที่เขาพยายามจะหลอกให้ตัวเองมีความสุข แม้ว่าจะตายทั้งเป็น

 

 

How long do I have to wait?

A belief cannot change the fact

 

 

 

 

🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺

จริงๆก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าแบดแอนดิ้งได้หรือเปล่า

เพราะว่าความรู้สึกเรามันเหมือนอารมณ์ของคนเหงา

ที่คิดถึงแต่คนรักมากกว่าไม่ได้บรรยายให้เจ็บปวด

แต่อยากบรรยายอารมณ์คนที่ยังลืมไม่ได้

Step By Step{JIMIN X JAEBUM}

Step

By          

Step

JIMIN X JAEBUM

       7/10/2016

 

 

 

 

 

 

 

“จีมินเอาฉากไปประกอบดิ”

“จีมินไปรับข้าวกล่องที่หน้าโรงเรียนด้วย”

“ปาร์คจีมินไปซื้อสีมาดิหมดถังแล้วเนี้ย”

“เห้ยจีมินไปไหนวะ? จะใช้ไปเอาผ้าคลุม”

“จีมิน จีมิน จีมิน จีมิน จีมิน”

และอีกหลายๆจีมินที่ประธานคนเก่งจะเรียกใช้

“จีมินเดี๋ยวเสร็จจากตรงนี้แล้วไปช่วยยกไม้หน่อย”

“ครับพี่” เจ้าของชื่อเอ่ยตอบรับคำขอมากมายจากพี่ประธานคนนี้อย่างง่ายดายก่อนจะทำธุระตรงหน้าให้เสร็จแล้วตามอีกคนไป

ห้องเก็บของมืดๆดูรกไปหมดซะจนไม่มีทางให้เดินดูจะลำบากสำหรับผู้ชายสองคนอยู่มากแถมยังด้วยฝุ่นที่จับตามข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ห้องนี้ไม่เหมาะกับคนรักสะอาดอย่าง อิม แจบอมเสียเลย เขาส่ายหัวเบาๆก่อนจะให้หลังกลับไปมองจีมินที่เดินตามมาเงียบๆ “จีมิน… นายเข้าไปยกคนเดียวได้ไหม คือพี่แพ้ฝุ่นอ่ะ” บอกปากเปล่าไม่พอยังยกไม้ยกมือเกาจมูกตัวเองอีกต่างหาก

“ครับพี่”

ประโยคเดิมๆจากปากของจีมิน ได้ยินอย่างนั้นแล้วแจบอมก็รีบเดินออกมาทันทีแต่ก็ยังไม่วายตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงมาดของประธาน“รออยู่หน้าห้องนะ รีบๆด้วย” เสียงที่ยังดังอยู่ในห้องทำให้เจ้าตัวหงุดหงิดอารมณ์เหลือเกิน ไม่รู้ว่าไม้ที่ให้ยกออกมาเป็นไม้ประกอบบ้านตุ๊กตาหรือไงถึงได้หายากหาเย็นยิ่งกว่าเส้นด้าย ว่าแล้วขาทั้งสองก็เดินกลับเข้าไปในห้องอีกรอบเพื่อตรวจดูสภาพร่างกายน้องว่ายังไม่สลายหายไปเป็นธาตุอากาศ

“นานจังว่ะ สรุปเจอไหมไม้อ่ะ” คนที่ก้มหน้าก้มตารวบร่วมไม้ขึ้นมาแบกไว้บนไหล่เล็กๆตอบเพียงครับด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ครั้นประธานคนเก่งจะให้น้องตัวเล็กแบกไม้ที่ดูแล้วเหมือนจะหล่นมาทับเจ้าตัวอยู่เมื่อไรก็ได้อยู่คนเดียวก็เหมือนเอาเปรียบมากเกินไป “มาพี่ช่วย”

“ไม่เป็นไรพี่เดี๋ยวผมยกเองดีกว่า” รีบบอกปฏิเสธทันทีก่อนที่แจบอมจะเข้ามาถึงตัวแถมยังด้วยการทำหน้าตาสบายราวกับแบกนุ่นไว้บนไหล่นั้นอีก

เขาเพียงพยักหน้ารับไหวไหล่ให้อากัปกิริยาของอีกคน สองเท้าก็ออกเดินมาโดยไม่รอคนที่แบกไม้อยู่เต็มมือก็จะช่วยแล้วนะแต่บอกปฏิเสธเองเขาจะทำอะไรได้ส่ายหน้าให้กับความดื้อรั้นของอีกคนพลันนึกถึงเจ้าของร่างเล็กนั่นก็คงนึกถึงความขยันตั้งใจทำงานโดยไม่บอกปัดอะไรสักคำเป็นอย่างแรก อย่างต่อมาก็คงคำพูดคำจาน้อยคำนักในการสนทนาของเราสองคนแต่กลับคนอื่นเด็กคนนั้นพูดเยอะอย่างกับไม่ได้เจอหน้ากันมาเป็นปี แจบอมคิดระคายใจอยู่ไม่น้อยไม่รู้จะสงบปากสงบคำกับเขาทำไมนักหนาเขาเป็นคนชอบคนที่อยู่ด้วยแล้วหาเรื่องมาพูดคุยกันถึงบางเรื่องมันจะไม่ได้สลักสำคัญหรือเรียกได้ว่าไร้สาระก็ยังจะดีกว่าการนั่งบื่อเงียบๆโดยได้ยินแต่เสียงลมหายใจอึดอัดทุกครั้งที่ในบทสนทนามีแค่เขากับจีมินเพียงสองคน

“วางตรงนี้นะแล้วก็” เว้นระยะนึกงานที่กองอยู่เป็นภูเขาให้กับจีมินก่อนที่จะโดยแทรกด้วยเสียงที่โคตรจะน่ารำคาญของหวังแจ็คสัน

“มึงใช้น้องเขาขนาดนี้ก็เอากลับไปใช้ต่อที่บ้านด้วยเลยดิ” และตามด้วยเสียงหวีดร้องในวงทำงานกลุ่มใหญ่ตามมาเป็นเครื่องดนตรีตบมุข แจบอมชูนิ้วกลางเรียวกลับไปให้เพื่อนสนิทตัวดีและตามด้วยคำหยาบสารพัดที่จะสบถออกมาได้

จีมินหัวเราะในลำคอเบาๆให้กับความสนิทของรุ่นพี่แต่มันเบาไม่พอที่คนข้างกายจะไม่ได้ยิน

“ตลกมากหรอจีมิน” ประธานคนเก่งหน้างอแล้วดูท่าจะอารมณ์เสียจริงๆ

รอยยิ้มของจีมินปรากฏขึ้นเด่นชัดนานครั้งที่แจบอมจะได้เห็นมัน รอยยิ้มสดใสของอีกคนเล่นทำให้หัวใจประธานคนนี้กระตุกได้ดีทีเดียวเหมือนจะจับจังหวะลมหายใจไม่ค่อยถูกหลังจากโดยจู่โจม เขากระแอมไอเพื่อแก้อาการผิดจังหวะ ก่อนที่แจบอมจะหลุดเข้าไปในความคิดของตัวเองมากไปกว่านี้จีมินก็เอ่ยปากถาม

“แล้วมีงานอะไรให้ผมอีกไหมครับประธาน” กับรอยยิ้มสดใสอีกระลอกจู่โจมเข้ามาอีกแล้ว

… ตั้งรับไม่เป็นเลย

“ม … ไม่มีแล้วๆ”

“อ่างั้นผมไปกินข้าวกลางวันแล้วนะ” เสียงนุ่มๆฟังแล้วเพลิดเพลินยังไม่หมดคำพูดเพียงเท่านั้น “ไปกินข้าวด้วยกันไหมครับพี่แจบอม?”

ตึกตัก… ตึกตัก..

กับครั้งแรกของคำถามที่ไม่คุ้นชิน และครั้งแรกของหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะเขาควรจะทำยังไงดีกับสถานการณ์ที่มันเป็นครั้งแรกแบบนี้ หน้าเห่อร้อนขึ้นมาไม่ทันระวังตัวกับก้อนเนื้อที่เต้นตุ๊บตั๊บถ้าแรงกว่านี้เขากลัวว่าจะหมดลมหายใจเอาก่อนจะได้ตอบคำถามแต่เจ้ากรรมจีมินดันทำตัวที่เป็นครั้งแรกกับเขาอีกแล้ว มือสวยคู่นั้นหยิกแก้มแจบอมอย่างไม่ถือวิสาสะทั้งที่ก่อนหน้านั้นโมเม้นท์แบบนี้แทบจะหาไม่ได้เลยจากเขาทั้งสองตื่นตัวทันทีเมื่อโดนสัมผัสจากคนเป็นน้อง

“นายไปกินเถอะพี่มีงานต้องทำอีก”

“งานห่าไรแจบอมพวกกูก็ทำอยู่เนี้ย น้องเขาชวนก็อย่าเล่นตัวดิ๊”

โคตรพ่อโคตรแม่เสือกกว่าหวังแจ็คสันมีอีกไหม…

“สั้นมึง โคตร ขี้ เสือก” เน้นประโยคหลังให้แน่นชัดกว่าเดิมแต่ก็ได้แค่เพียงการไหวไหล่ไม่ใส่ใจของเพื่อนตัวเอง

“ไม่เป็นไรครับ ยังไงก็อย่าทำงานหนักไปนะพี่มีเวลาก็หาอะไรกินบ้าง”

จีมินยิ้มให้อีกครั้งรอบที่สามของวันแล้ว… ไม่ชินกับอาการที่เป็นอยู่ตอนนี้ ใบหน้าที่ดูสละสลวยทุกอย่างลงตัวกันไปหมด ดวงตาตี่เล็กที่แทบจะมองอะไรไม่เห็นถ้าเจ้าตัวยิ้มมันช่างเหมาะกับปาร์คจีมินจนประธานคนเก่งแอบเผลอใจเต้นแรงไปแล้ว รู้ตัวอีกที่ก็ตอนจีมินเดินออกไปจากวงสนทนาแล้วแจ็คสันก็ยังคงแซวเขาตลอดการทำงาน นี่ถ้าใช้อำนาจของประธานสีจะผิดไหมอยากเอารองเท้าช้างดาวตีหัวมันให้แตกเสียจริง ไม่ทันไรปากดีๆของแจ็คสันก็เริ่มแซวเขาอีกนี่ให้งานมันน้อยไปหรือว่ามันไฮเปอร์เกินไปวะ ขนมก็จะกิน งานก็ต้องทำ ยังมีหน้ามาแซวเขากับเรื่องนี้อีก

“ว่าไงประธานคิดถึงน้องจีมินอยู่หรอค้าบบบ”

“แดกขนมไปมึงอ่ะ” จัดแจงหยิบขนมในถุงขึ้นมากำมือยัดใส่ปากที่ยังคงพูดอยู่จนเจ้าตัวแทบสำลักออกมา แจ็คสันหันมาหน้าบึ่งใส่เขาก่อนจะย้ายร่างของตัวเองไปนั่งที่อื่น

“ไงมึงไปซะนานเชียว”

เสียงดังออกมาจากกลุ่มเพื่อนชายที่รวมตัวกันกินข้าวกลางวันอยู่สักพักใหญ่ๆแล้ว จีมินนั่งลงใกล้กับเจ้าของร่างที่เอ่ยทักเขาเมื่อสักครู่

“ได้เบอร์มายัง?”

จีมินส่ายหัว

“ไลน์อ่ะ”

เจ้าเพื่อนตัวดียังคงซักไซ้ต่อ

และเขาก็ยังคงส่ายหัว

“เอ้าไม่มีน้ำยา”

“ไม่มีน้ำยาห่าไรมึงแทฮยองก็เห็นอยู่แดกข้าวไม่ได้แดกขนมจีน เรียกหาน้ำยาเพื่อ”

มือหนาของแทฮยองตบหลังเขาถึงมันจะไม่ได้แรงอะไรมากมายแต่การที่เขาทำงานหนักมาทั้งวันส่งผลให้เขาเริ่มปวดเมื่อยเนื้อตัวอย่างถึงที่สุดและยิ่งด้วยการแบกไม้แผ่นใหญ่คนเดียวด้วยแล้วเขาแทบจะสิ้นใจก่อนระหว่างทางเดินด้วยซ้ำ

“เจ็บชิบ”

“กูล้อเล่นแค่นี้เองมึงก็คิดมากไปได้”

“สัสกูเจ็บที่มึงตีเนื้ย”

ใบหน้าหล่อเหยเกทันทีเมื่อคิดจะเปลี่ยนอริยาบทในท่าทีสบายตัวกว่าเดิม โอ้ย… แทบจะขาดใจรอนๆได้แต่ร้องโอดครวญอยู่ในใจ ไม่น่าทำตัวให้ดูแมนเลยจีมินเจ็บขนาดนี้พี่เขายังไม่รู้ อยากร่ำไห้ “แล้วสรุปวันนี้เป็นไง พี่เขามีปฏิกิริยาอะไรบ้างไหมตอนมึงทำตัวน่ารักๆ” ในปากก็ยังเคี้ยวข้าวอยู่เต็มทั้งแก้มซ้ายแก้มขวาตูมเป็นลูกมะนาว

“กูก็ไม่รู้ว่ะมึงแต่พี่เขาดูแบบ” เขานึกถึงช่วงเวลาที่อยู่กับรุ่นพี่สังเกตดีๆแล้วเหมือนอีกฝ่ายก็ดูจะทำตัวแปลกๆกับกิริยาของเขาเมื่อกัน “นิ่งเฉยสัสอ่ะ แต่กูเห็นนะว่าพี่เขาดูเหมือนจะหน้าแดงกูคิดไปเองป่ะวะ?”

“เอางี้มึง” จีมินดูทำทางเหมือนจะสนใจในบทสนทนาของพวกเขายิ่งกว่าเดิม

“อะไรมึง” เค้นคำถามอีกครั้งเมื่อเพื่อนตัวดีเอาแต่กิน

“แดกข้าวก่อนเถอะกูยังมีงานต้องทำ”

“ช่วยกูได้มากขอบคุณ”

จีมินได้แต่ก้มหน้ากินข้าวในมือที่เขาไปรับมาเมื่อเช้าจากหน้าโรงเรียนข้าวกล่องที่พาลทำให้นึกถึงอีกคนที่ยังไม่ได้กินอะไรลงท้องเลย จะทำงานหนักไปไหนทีแรกก็บ่นว่าไม่อยากเป็นประธานสีแต่พอเอาเข้าจริงๆรุ่นพี่คนนี้กลับมีความเป็นผู้นำในตัวเองสูงอยู่พอสมควรการทำงานที่จริงจังอยู่ตลอดเวลา พอมองใบหน้าด้านข้างจริงจังของรุ่นพี่คนนี้แล้วจีมินกลับมองว่ามันน่ารัก ทั้งที่แจบอมเองก็ดูจะเป็นคนแมนๆเรียกได้ว่าโคตรจะเป็นผู้ชายในฝันของใครหลายคน แต่กลับกันจีมินได้เห็นด้านที่คนอื่นไม่ค่อยได้สัมผัสมุมน่ารักๆของแจบอมที่จีมินชอบ ทุกครั้งที่เขาจะสั่งงานอะไรจริงๆจังหรือเรียกประชุมสีแบ่งงานให้น้องๆไปทำเขาจะชอบจนรายละเอียดเล็กๆไว้บนสมุดจดสีน้ำตาลอ่อนที่ไม่มีลวดลาย เขามักจะเม้มปากเวลาที่จะเสนอไอเดียอยู่ทุกครั้งหรือแม้แต่จุดสีดำบนเปลือกตาเขาเองที่เขาชอบบอกว่ามันทำให้เขาดูเท่ห์ดูชิค แต่เมื่อผมหน้าม้าที่เขาชอบเสยมันขึ้นไปตกลงมามันก็ทำให้เขาดูน่ารักขึ้นเป็นกอง น่ารักจริงๆ รอยยิ้มนั้นก็ด้วยจีมินชอบมองตรงมุมปากสวยๆยกขึ้น

อ่า… พี่แจบอมน่ารักจังครับ

น่ารักจนอยากได้เป็นแฟน

อยากลองสัมผัสผิวนุ่มๆของพี่เขาด้วย

จีมินต้องการพี่เขาครับ

แต่ตอนนี้ ค่อยๆเดินก่อนแล้วกัน

ไม่อยากรุกจนพี่เขาจะไม่ทันตั้งตัว

ฟ้ามืดแล้วแถมยังด้วยเสียงดังที่โหมกระหน่ำมาเป็นระลอก ฝนกำลังใกล้จะตก ที่ดังอยู่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าเม็ดฝนใหญ่ใกล้จะเทลงมาเต็มแก่ จีมินเองก็รีบเดินออกจากห้องเก็บของที่พึ่งทำงานในส่วนของตัวเองเสร็จและกำลังจะกลับบ้าน เขาเดินออกมาจนใกล้จะถึงประตูรัวโรงเรียนอยู่แล้วแต่ขาทั้งสองกลับหันหลังเดินกลับเข้าไปในโรงเรียน พื้นที่ลานกว้างประจำโรงเรียนถูกใช้งานเพื่อทำงานกีฬาสีของคณะสีม่วงยังคงเต็มไปด้วยรุ่นพี่ที่นั่งทำงานกันอยู่ท่ามกลางแสงไฟจากตึกใกล้ๆ สายตาของจีมินกำลังกวาดมองหาแจบอมก่อนจะพบว่าอีกคนนั่งทำงานห่างจากเพื่อนของตัวเองอยู่ไม่ไกล ร่างเล็กเดินตรงมายังรุ่นพี่ทันที “ยังไม่กลับหรอครับ” เอ่ยถามด้วยความห่วงใยล้วนๆอาจปนความคิดถึงอยู่ด้วย

“อ้าว” ดูเหมือนคนที่นั่งอยู่ก่อนจะตกใจกับผู้มาเยือนใหม “ยังๆพี่ยังทำธงไม่เสร็จเลย นายละทำไมยังไม่กลับ”

ถือวิสาสะนั่งข้างอีกคนทั้งที่ยังไม่ได้ขอ

“ผมช่วยจะได้เสร็จเร็วๆ” ไม่ว่าเปล่าเขายังหยิบอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวขึ้นมาทำตามพี่ แต่ดันโดยอีกคนห้ามปรามเสียก่อน

“งานนายเสร็จแล้วก็กลับไปได้แล้ว” เขาพูดทั้งที่ไม่ได้เงยหน้ามองด้วยซ้ำ

“ไม่เป็นไรผมช่วยได้” เด็กดื้อรั้นยังคงไม่ฟังคำห้ามอะไรเขาลงมือช่วยแจบอมเต็มที่ และแจบอมเองก็ขี้เกียจจะห้ามเด็กคนนี้แล้วเลยปล่อยให้นั่งทำงานเงียบๆ ก่อนจะสังเกตว่าจีมินมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี

“เป็นอะไรไม่สบายหรือไง” มือนุ่มของแจบอมแตะลงบนหน้าผากมนของจีมิน ราวกับโดนคำสาปจีมินนั่งนิ่งกลายเป็นภาพนิ่งไปซะแล้ว หัวใจเจ้ากรรมก็ดันเต้นโครมครามอยู่ข้างในไม่หยุดหย่อนให้ตายหายใจไม่ทั่วท้องเลย “ตัวไม่ร้อนหนิเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เป็นเสียงน่ารักๆ(ในความคิดจีมิน)ของรุ่นพี่ที่ดึงสติเขากลับมา

“อ่อครับผมเจ็บไหล่รู้สึกจะเป็นตั้งแต่ตอนที่ยกไม้”

“ขอโทษพี่ใช้งานเราหนักไปสินะ รออยู่นี่นะเดี๋ยวพี่มา”

แจบอมเดินออกจากที่ไปสักพักปล่อยให้เขาเขินกับความเป็นห่วงที่แจบอมมอบให้ และการสกินชิปครั้งแรกของแจบอมช่างติดตราตรึงใจจีมินเสียยิ่งกว่าอะไร มือนุ่มที่ใช้สัมผัสหน้าผากของเขากลิ่นน้ำหอมอ่อนๆยังคงติดจมูกอยู่เลยหอมจนอยากจะเดินตามไปทุกที่ แจบอมกับของในมืออีกมากมายกลับมานั่งที่เดิมโดยมีสายตาของจีมินค่อยมองอยู่ตั้งแต่ที่เขาเดินมาไกลๆแล้ว

“อันนี้เกลือแร่นะกินไปก่อนเดี๋ยวจะหายเย็น”  พูดพร้อมยื่นขวดเกลือแร่สีเหลือมาให้พร้อมทั้งจัดแจงเปิดฝาให้แล้วเรียบร้อย ก่อนจะให้กลับไปยุ่งอยู่กับของที่เอามาแล้วก็ยื่นของอีกอย่างมาให้ ยาคลายกล้ามเนื้อหลอดขาวถูกส่งมาวางไว้ในมือของจีมิน

“แล้วก็ทายานี่”

จีมินหันมามองแจบอมด้วยสายตาอ้อนวอน

“พี่แจบอม” เสียงเรียกที่ทำเอาอีกคนเขินได้แทบไม่อยากหันหน้ามามองต้นเสียง “ผมทาเองไม่ได้ช่วยทาให้ผมหน่อย”

“ทาเองดิสรุปจะเป็นภาระหรือจะมาช่วย”

นะครับ

สั่นไปทั่งหน้า ทั่งตัว และก็หัวใจด้วย… ใจอ่อนต่อคำนี้ตั้งแต่เมื่อไรแจบอมก็ได้แต่นึกแปลกใจเริ่มจะทำตัวไม่ถูกไปทุกที ไม่ใช่ว่าจะอึดอัดเหมือเมื่อก่อนแต่มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจ ว่าควรจะเรียกว่าอะไร ความรัก? ไม่มันยังคงเร็วเกินไปแต่ที่แน่ๆก็เริ่มหวั่นไหวขึ้นมาบ้างจากทุกครั้งที่ไม่ได้เห็นอีกมุมของเด็กจีมิน

หวั่นไหว…

หรือ

?

“พี่แจบอม พี่แจบอมครับ” เมื่อเห็นอีกคนไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ก็เลยเรียกดึงสติ เขาพยักหน้าและรับคำขอของจีมินด้วยการทายาให้ทุกครั้งที่มือนุ่มของแจบอมสัมผัสโดนผิวเขาก็เท่ากับเพิ่มความถี่ของอัตราการเต้นของหัวใจให้แรงขึ้นตลอดการทายา เกือบจะทนไม่ได้ที่ไม่ให้หัวใจเขาเต้นแรงไปมากกว่านี้มันแทบจะหลุดออกมาจากทรวงอกด้านซ้ายทุกทีเขาเกือบจะเป็นบ้ากับความเขินนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ งานทุกอย่างเสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเวลาก็ผ่านมานานแล้วเช่นกันฝนที่ตั้งท่าเหมือนจะเทลงมาเมื่อตอนหัวค่ำก็กลับไม่ตกลงมาอย่างคาดการเอาไว้ ที่บ้านจีมินก็โทรมาตามว่าเมื่อไรลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะกลับมาถึงบ้านจนต้องให้คุยกับแจบอมนั้นแหละแม่ของเขาถึงจะยอม ของทุกอย่างนำมาเก็บไว้ที่ห้องเก็บของดังเดิม แจบอมเป็นฝ่ายอาสาที่จะนั่งรถไปส่งจีมินถึงบ้านเพราะแม่ของจีมินฝากลูกชายไว้กับเขาทั้งสองออกมาเรียกแท็กซี่ยามค่ำคืน บอกจุดหมายปลายทางเสร็จแล้วก็สลบกันไปตามๆกันทั้งพี่ทั้งน้องเนื่องจากความเหนื่อยล้ามาตลอดวัน เป็นคุณลุงแท็กซี่ผู้ใจดีที่ปลุกเขาทั้งสองตอนถึงที่หมาย

“พี่เข้าบ้านผมก่อนไหม?”

“ไม่อ่ะรบกวนเปล่าๆ นายอ่ะกลับเข้าไปได้แล้วพี่จะได้กลับบ้านบ้าง”  แจบอมหันหลังเตรียมจะขึ้นแท็กซี่คันเดิมแต่ข้อมือทุกรั้งไว้ก่อน

“พรุ่งนี้ผมไปส่งพี่ที่บ้านนะ” แจบอมเลิกคิ้วขึ้น

“งานเสร็จตั้งแต่ตอนเย็นก็กลับบ้านตอนนั้นดิจะมาอยู่ช่วยพี่ทำไม”

“อยากกลับบ้านด้วย” คำตอบที่ดูเหมือนจะไม่ตรงตามที่คิดทำให้หัวใจพองโตข้างในอยู่เงียบๆ

“จนกว่างานจะเสร็จ” จีมินส่ายหัวเหมือนประโยคที่เขาพูดยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดกลับพุ่งพรวดมาจากไหนไม่รู้มากมาย “จนกว่าพี่จะไม่อยากเจอหน้าผม”

“แค่นี้ก็ไม่อยากเจอแล้ว” คำพูดทีเล่นของพี่ทำเอาหน้าจีมินหงอยไปชั่วขณะ มือนุ่มของแจบอมถูกส่งมาขยี้หัวกลมๆนั้นจนยุ่ง “ก็กลับด้วยกันทุกวันเลยเป็นไง?”

คนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้าระบายรอยยิ้มที่หุบไปเมื่อกี้ขึ้นใหม่เขาพยักหน้าตอบรับว่าเห็นด้วยกับทุกอย่างที่แจบอมพูด ก่อนจะส่งให้แจบอมขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้านของตัวเอง

“แม่ผมมีแฟนแล้วนะ” เสียงตะโกนดังลั่นอยู่หน้าบ้านทำเอาคนที่นอนไปแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมา คนเป็นแม่ออกมาดูอาการของลูกชายตัวเองหน้าบ้าน ก่อนจะพบว่าลูกตัวเองตะโกนโวกเวกไปทั่วซอย

อ่า… พี่แจบอมโคตรจะใจดีเลยครับ

พองโตคล้ายบอลลูนยักษ์ที่เขาว่าเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้องมันเป็นแบบนี้นี่เอง จีมินก็เพิ่งจะเข้าใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

**********************

เรามาหวีดให้กับความน่ารักขึ้นทุกวัน

ของพิจบมทำไมน่ารักค่ะ กินอะไรถึง

ได้กลมขึ้นทุกวันๆแบบนี้ ฮืออออออ

นี่บอกเลยเรือผีมากค่ะลำนี้ถ้าจะชิป

แล้วต่อให้สุดไปเลยค่ะจีมินยัยก้อน

ก็แมนขึ้นทุกวี่ทุกวันวันยิ่งใกล้คัมแบค

นี่หลัวค่ะบอกเลย

จะบอกเธอว่ารัก{TAEHYUNGXNAMJUN}

cajndjpwcaawss9

 

หมาป่ากับเสือ

เราไม่ได้เป็นศัตรูกันแต่ก็ไม่ใช่มิตรสหายที่ควรจะอยู่ใกล้

เราแย่งชิงอาหารเพื่อความอยู่รอด

แย่งชิงบัลลังก์เพื่อความเป็นที่หนึ่ง

หมาป่าผู้สง่างามไม่เคยเกรงกลัวต่อเสือผู้น่าเกรงขาม

ถึงแม้เราจะไม่ได้ต่อสู้กันโดยตรง แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่รอบกัด

เราเป็นเพียงสัตว์ป่าที่ต้องการจะครอบครองพื้นป่าทั้งหมดไว้

ใครเป็นใหญ่จะมีอำนาจเหนือกว่า สัตว์ทุกตัวจะยอมก้มหัวให้

แม้แต่เจ้าป่าผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ‘ราชสีห์’ ราชันเพียงหนึ่งที่ใครๆไม่กล้าต่อกร

 

 

เขาเป็นเสือที่น่าเกรงขามใครๆก็ต่างพากันชื่นชมในผลงานของเขา การทำงานดีเป็นมืออาชีพทำให้ตำแหน่งหน้าที่ของเขาขยับขึ้นเรื่อยๆตามความขยัน ใบหน้าคมคายที่ไม่ได้ดูมีอะไรพิเศษแต่ทว่าถ้ามองใบหน้านี้จริงๆแล้วมันมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ด้วยร่างกายที่สูงสง่าบวกกับไหล่ผายกว้างทำให้เขาเป็นที่ต้องตาต้องใจในหมู่ลูกน้องผู้หญิงทั้งหลาย เรือนผมสีน้ำตาลเทานั่นก็อีกมันเหมาะกับเจ้าตัวมากแค่ไหน “คิมนัมจุน” ผู้ชายที่ดูเซ็กซี่ขนาดตอนที่ทำหน้าตาเผลอๆ ใบหน้าที่เขาเองแอบมองอยู่บ่อยๆ ใครจะคิดว่าผู้ชายที่สมชายชาตรีอย่างคิมนัมจุนจะมีผู้ชายด้วยกันมาชอบเขาเองก็แปลกใจกับตัวเองเหมือนกัน

 

“แทฮยองหัวหน้าเรียกน่ะ”

“เรื่องอะไร?”

“แล้วฉันจะไปรู้กับหัวหน้าเขาหรอหรือจะให้ฉันไปแทนคะ” เพื่อนร่วมงานของแทฮยองยิ้มหน่อยยิ้มใหญ่เพียงแค่เอ่ยคำว่าหัวหน้าสุดหล่อออกมา ให้ตายเถอะ… คู่แข่งของเขาข่างน่ากลัวเสียจริง

“ไม่อ่ะหัวหน้าเรียกฉันเธอจะไปทำไม” หน้าที่ไม่สบอารมณ์พอๆกับความคิดข้างในอยากจะทำตัวเหมือนนางร้ายในละครหลังข่าวตอบก่อนจะเดินออกไปอย่างผู้ชนะ

เขายิ้มกับตัวเองคล้ายคนบ้า เอาจริงๆก็สะใจผู้หญิงที่นี่หลายคนที่เขาถูกเรียกตัวไปพบกับหัวหน้าบ่อยที่สุดจนผู้หญิงในที่ทำงานเริ่มจะไม่ชอบขี้หน้าเขาเอาซะดื้อๆ สาวเท้ามาไม่กี่ก้าวก็หยุดลงหน้าห้องหัวหน้าแผนกเคาะประตูบอกคนข้างไหนว่าเขามาถึงแล้ว

“เข้ามาได้” เสียงทุ้มตะโกนบอกจากข้างใน

ประตูถูกเปิดออกก่อนที่แทฮยองจะเปิดใบหน้าที่คุ้นตา รุ่นพี่คนเก่งของบริษัทยิ้มให้เล็กน้อยพอเป็นมารยาทก่อนจะเดินผ่านเขาไปดั่งธาตุอากาศ ให้ตายเถอะเขาไม่ชอบขี้หน้าไอ้พี่คนนี้เอามากๆ คนบ้าอะไรทั้งหล่อทำงานเก่งแถมยังเป็นลูกน้องคนโปรดของหัวหน้าอีก อิจฉาครับ มันอิจฉารู้ไหมอิจฉาทุกทีแทฮยองโคตรจะอิจฉาเลยได้แต่นึกน้อยใจกับตัวเอง แม่ครับแทฮยองจะแพ้พี่คนนั้นไม่ได้

“จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม?” คนถูกทักสะบัดหัวไล่ความคิดก่อนหน้านี้ออกไป

“เรียกผมมาคิดถึงผมหรอ”  คำพูดที่ถูกเหมือนจะไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของเจ้านายเอ่ยไปอย่างคุ้นชิน คนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วแสดงสีหน้าเดิมๆเหมือนทุกที

“ก็ไม่เชิง”

อ่า… นัมจุนนี่บอกก็ไม่เชิงแสดงว่าคิดถึงเหมือนกันสินะ ออมม่า~ แทแทกำลังจะมีแฟนแล้วครับ

“ครั้งที่แล้วอ่ะ” เจ้าตัวเม้มปากเข้าหากัน หลบสายตาของแทฮยองที่ใครๆบอกว่าสายตาคู่นั้นของนัมจุนเหมือนเสือใครว่า เหมือนลูกแมวมากกว่า ฮือ ทำไมน่ารักครับคนนิสัยไม่ดีแทฮยองใจเต้นไปหมดแล้ว

“ว่าไงครับ ครั้งที่แล้วทำไมหรอ”

“ก็… ที่นาย”

“ผม?” นิ้วเรียวชี้เข้าหาตนเอง คนเอ่ยถามประโยคก่อนหน้านี่พยักหน้ารับ “ทำไมครับจะยอมรับข้อตกลงแล้วหรอนัมจุน”

“ไม่มากไปหน่อยหรอเรียกชื่อฉันห้วนๆแบบนั้น”

“ปกติก็เรียกแบบนี้ไม่ชินหรอเดี๋ยวอีกหน่อยผมต้องเรียกว่าที่รักนะ คงต้องรีบๆชินได้แล้ว”

มือเรียวของเจ้าของห้องคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้มือมากที่สุด กล่องกระดาษทิชชู่สี่เหลี่ยมถูกโยนออกไปยังผู้มาเยือน ไวก็ความคิดแทฮยองเสนอหน้าของตัวเองเข้ามาหานัมจุน รอยยิ้มพร้อมแก้มบุ๋มเมื่อสักครู่หายไปเมื่อคนตรงหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาไม่บอกไม่กล่าวหัวใจที่กำลังเต้นหนักเกินหน้าที่แทบจะกระเด็นหลุดออกมาจากหน้าอกข้างซ้าย

“เสือที่ไหนกลัวหมาป่ากันครับ”

 

 

 

 

 

แทบจะขาดอากาศหายใจรู้สึกว่าตัวเองหายใจไปเป็นจังหวะก็ตอนนี้ มันร้อนขึ้นทุกนาทีอาจจะเป็นวินาทีด้วยซ้ำแล้วมั้ง ทำไมผู้ชายอย่างเขาต้องใจสั่นเพียงเพราะการกระทำบ้าๆของลูกน้องคนนี้ด้วย อยากจะเป็นลมให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ก็น่ะพระเจ้ายังคงรักเขาอยู่บ้างถึงส่งตัวลูกน้องคนโปรดมาขัดจังหวะในนาทีหน้าสิวหน้าขวาน นั่นแหละถึงทำให้แทฮยองกลับมายืนตัวตรงมองเขาอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ร่างสูงของคิมซอกจินเดินตรงมายังตรงทำงานของเขาแล้วว่างเอกสารที่หน้าจะเสร็จไปแล้วเมื่อสักครู่ลงข้างหน้า

“หัวหน้าลืมเซ็นตรงนี้ครับ” เขาว่าพรางชี้มาตรงที่เซ็นไปเรียบร้อยแล้ว นัมจุนมองเอกสารสลับกับคนตรงหน้า

“แทฮยองนายออกไปก่อนนะฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณจิน”

“ครับ แล้วก็ที่หัวหน้าจะพูดเมื่อสักครู่ค่อยมาบอกนะครับ”  แทฮยองออกไปจากห้องแล้วตอนนี้ก็เหลือแค่เขากับซอกจิน

 

“ชิ~”

“ชิอะไรนัมจุน” สรรพนามถูกเปลี่ยนเมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว

“ฮยองก็ดูดิ” ว่าพรางก็นึกถึงคนที่ถูกเอ่ยในบทสนทนา มันน่านักคิมแทฮยอง น่าจะบอกปฏิเสธหัวใจตัวเองให้ไม่ชอบคนแบบนั้นนัก

“แทฮยองหรอ? ทำไมเจ้านั้นมันแกล้งอะไรอีกล่ะ”

คนเป็นน้องเอื้อมมือตัวเองมาดึงมือของซอกจินวางทาบลงบนอกข้างซ้ายอย่างสนิทสนม ใช่เขาสองเขาสนิทกันดีในฐานะของรุ่นพี่รุ่นน้องที่เรียนคณะเดียวกันสนิทจนที่ว่าคนอย่างนัมจุนที่ไม่ค่อยเอ่ยปากบอกเรื่องตัวเองกับใครง่ายๆ แต่เมื่ออยู่กับซอกจินเขาเอาแต่พูดจนบางทีต้องหาขนมมายัดใส่ปากเพื่อให้เจ้าตัวเงียบ สนิทจนที่ว่าซอกจินรู้สึกเกินกว่าน้องที่รู้จัก อยากจะขยับเลื่อนขั้นไปให้มากกว่านั้นแต่ก็กลัวว่าอีกคนจะไม่รู้สึกเหมือนกัน จนตอนนี้คนน้องกลับไปชอบคนอื่น

แพ้ซะแล้วล่ะ คิมซอกจิน…

 

“มันเต้นไม่เป็นจังหวะเลยอ่ะฮยอง”

น่ารักอีกแล้วทำหน้าตางอแงใส่เขาอีกแล้ว อย่างนี้จะไม่ให้คนอื่นชอบได้ไงกันนัมจุนอ่า พองโตขึ้นมาอีกนิดหัวใจที่ไม่ค่อยได้ถูกใช้งาน เขายิ้มให้กับท่าทางขี้อ้อนของน้อง

“แล้วกับฮยองล่ะเหมือนกันไหม” ไวกว่าที่สมองอันแสนฉลาดจะประมวลผลปากพล่อยๆของซอกจินก็เผลอพูดออกมาซะก่อน จะถูกเกลียดไหมนะเผลอทำตัวแบบที่อีกคนไม่ชอบไป

“แกล้งอีกล่ะไม่คุยกับฮยองแล้วนะ ไปเลยๆ”

แพ้จริงๆสินะซอกจิน ขนาดพูดความจริงออกไปเจ้าตัวยังคิดว่าเขาแค่แกล้งเล่นตามความเอ็นดูเลย เขาส่ายหน้าให้กับความจริง วางมือลงบนกลุ่มผมนุ่มขยี้มันอย่างเบามือเหมือนที่ทำมาตลอด ยิ้มน้อยๆถูกมอบมาให้เขา นัมจุนอ่าฮยองชอบเราจริงๆนะ ได้แต่พูดมันอยู่ในใจรู้อยู่เต็มอกว่าเจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลเทาคนนี้มีคนอื่นอยู่ในใจแล้ว

“ฮยอง… ขอบคุณนะ”

คำๆเดียวที่เติมเต็มให้หัวใจของเขาไม่ให้หดหู่ แค่นี้คงพอแล้วล่ะสำหรับเขาไม่ต้องมากไปกว่านี้แล้วหัวใจของเขาไม่ต้องการครอบครองเพียงแค่มองดู เขาก็มีความสุข(หรอวะ) ซอกจินแพ้แล้วครับแม่ ฮรึก….

 

 

 

 

 

ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าในอีกไม่กี่นาที คณะทำงานของบริษัทชื่อดังกำลังสาวเท้าไปยังร้านอาหารใกล้ๆบริษัทมากกว่ายี่สิบชีวิตจะมาดื่มฉลองให้กับความสำเร็จของแผนก คงไม่ต่อแค่ที่เดียวแน่ๆ

“หัวหน้าคะดื่มหน่อยนะคะ” หญิงสาวคนสวยประจำแผนกมาประจบสอพลอด้วยการชงเหล้าเข้มๆให้กับหัวหน้า แต่สิ่งมีชีวิตที่กวนประสาทที่สุดในแผนกเสนอหน้ามาดื่มเหล้าแก้วนั้นแทน

“ให้ผมดื่มดีกว่าครับหัวหน้า” ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวก็แย่งเครื่องดื่มไปจากมือหญิงสาว

“แทฮยองฉันให้หัวหน้าไม่ใช่นาย” เธอต่อว่าคนที่ทำลายแผนการของเธออยู่ยกใหญ่ทั้งสองแทบจะเอาขวดโซจูที่อยู่ใกล้ๆมาฟาดหัวกันให้รู้แล้วรู้รอดโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง

“ฮเยจูไม่เป็นไรหรอกครับไม่ต้องไม่ทะเลาะกับเขาหรอก”

เป็นหัวหน้าที่นั่งดูอยู่นานมาห้ามปราม ทั้งสองแยกย้ายกับไปนั่งที่ของตน แต่ไม่วายผู้หญิงตัวแสบคนนั้นเข้าไปแตะเนื้อต้องตัวนัมจุนของแทฮยองก่อนออกมาอีกด้วย ยัยชะนีนิสัยเสีย แทฮยองจะฟ้องแม่คอยดูเถอะ

 

ต่อจากร้านอาหารก็คงไม่พ้นร้านคาราโอเกะ แล้วนัมจุนก็คงหนีไม่พ้นจากการโดนลากตัวของลูกน้อง บอกว่าจะให้บัตรทองไปใช้กันเจ้าลูกน้องตัวแสบก็ไม่วายลากตัวเขามาที่นี่ด้วย หวังว่าจะเป็นที่สุดท้ายของคืนนะ

เสียงดังตลอดชั่วโมงที่ผ่านมาทุกคนดูไม่เหนื่อยจากการเต้นและก็ร้องเพลงเลยสักนิด แต่ต่างจากเขามากแทบอยากจะกลับไปล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆที่คอนโคจะตายอยู่แล้ว อาการมึนหัวก็ยังน่ารำคาญแถมเสียงโวยวายของพวกลิงทั้งหลายนี่อีกนัมจุนแทบจะทุบโต๊ะให้แตกเป็นเสี่ยงๆ

“ไหวไหมนัมจุน พี่พากลับห้องนะ”

เขาส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะพิงไปซบไหล่กว้างของพี่ชาย

 

ทุกการกระทำของนัมจุนมีการเฝ้ามองของแทฮยองอยู่ไม่คาดสายตา เขารู้ดีว่าหัวหน้าของเขาคออ่อนขนาดไหนแต่นี่เล่นดื่มทั้งเหล้าทั้งเบียร์เป็นลังๆ แทฮยองห่วงจะแย่อยู่แล้ว ยังมีหน้าซบไหล่คิมซอกจินอีก อยากจะผลักให้ตกเก้าอี้แล้วเข้าไปเสียบแทนซะจริงๆ เพลงที่เคยดังอยู่ตลอดตอนนี้เงียบลงไปแล้ว เขามองข้างหน้าตู้คาราโอเกะว่าจะมีใครมาร้องต่อไหม พูดกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นก่อนตัวเองจะลุกขึ้นไปร้องเพลงบ้าง

เขาก้มหน้าก้มตาหาเพลงที่อยากร้องในสมุดก่อนจะก่อนเลขรหัสเพลง ดนตรีเบาหูเริ่มขึ้นพร้อมเสียงนุ่มๆของแทฮยอง

 

“และใครจะรู้ รักที่มีอยู่เก็บในใจมาแสนนาน เก็บมันอยู่จนล้นใจก็เธอนั้นอยู่สูง สูงเกินไปไม่มีทางที่หัวใจ มันจะได้พูดไปให้ฟัง~”

 

เพลงที่เป็นตัวแทนความรู้สึกของแทฮยองถูกขับร้องด้วยเสียงทุ้มนุ่มๆ สายตาก็ยังคงจับจ้องไปยังเจ้าของหัวใจของเขา คนทั้งห้องเงียบลงพร้อมกันเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพราะๆของแทฮยองแต่ดูเหมือนตอนนี้นัมจุนไม่ได้มีจิตใจจดจ่ออยู่กับอะไรเลย ก่อนเพลงจะจบหัวหน้าคนเก่งของเขาก็ออกไปข้างนอกด้วยท่าทีโซเซเขาจึงรีบวางไมค์และออกไปนอกห้องทั้งที่เพลงยังไม่จบ

สองเท้าเดินตามร่างสูงออกมาด้านนอก มืดแล้วท้องฟ้าจากสีส้มเมื่อตอนเย็นมืดสนิท ร่างสูงหยุดอยู่ที่ระเบียงของชั้นสองยืดตัวด้วยท่าทีสบายๆก่อนจะสูดอากาศเย็นๆเข้าไปเต็มปอด

“ออกมาเพราะผมร้องเพลงไม่เพราะหรอครับหัวหน้า”

ดูเหมือนเจ้าตัวจะตกใจเล็กน้อยกับผู้มาเยือนใหม่

“ป่าวฉันไม่ได้ฟังที่นายร้องด้วยซ้ำ”

แทงเข้าไปในกระดองใจเลย… ทำไมชั่งพูดจาทำร้ายน้ำใจกันขนาดนี้

“แต่ก็เพราะดีนะ” เขายิ้มรับกับคำชม

“อยากฟังบ่อยๆหรือป่าว?”  นัมจุนไม่ได้ตอบอะไร เพียงไหวไหล่เบาๆ อากาศที่ดูจะหนาวมากกว่าเมื่อตอนหัวค่ำทำให้นัมจุนกดอกแน่นขึ้นไปอีก

 

แทฮยองรวบร่วมความกล้าที่มีทั้งหมดโผล่กอดร่างสูงจากด้านหลัง มันแน่นพอที่จะทำให้หายหนาวได้ และมันก็แน่นพอที่จะรู้สึกถึงก้อนเนื้อของคนด้านหลังว่ามันเต้นแรงขนาดไหน เขาเพียงหัวเราะให้กับความรู้สึกของตัวเองเมื่อเนื้อของเราสัมผัสกันมันทำให้เขาหน้าร้อนขึ้นได้ทั้งที่ลมเย็นๆประทะเข้าหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน

“แทฮยอง”

“ครับ?”

“ปล่อยก่อนได้ไหม …” พูดอย่างว่าง่ายแทฮยองคลายกอดจากนัมจุนออกตอนนี้ทั้งคู่เลยหันมายืนประจันหน้ากันตรงๆ พวงแก้มกลมๆขึ้นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด

 

“คือฉันมาคิดดูแล้วที่นายบอกฉันครั้งก่อน” แทฮยองพยักหน้ารับตามและรอฟังประโยคต่อไป “ฉันยังไม่มั่นใจเลยว่าชอบนายจริงๆไหม” ปากอวบอิ่มของอีกฝ่ายเม้มเข้าหากันเมื่อพูดจบ

“ใจสั่นหรือป่าวเวลาอยู่กับผม”

“อืม” เขาตอบในลำคอเบาๆ

“แล้วคิดถึงผมหรือป่าวเวลาไม่เจอหน้า”

“อืม” อีกครั้งที่เจ้าตัวยังคงใช้เสียงในลำคอ

 

 

แทฮยองยิ้มกับความน่ารักของคนตรงหน้า ลูกแมวตัวน้อยของเขาท่าทางจะเขินเอามากจริงๆ เพราะงั้นเขาขอถือวิสาสะฉวยโอกาสความน่ารักของคนตรงหน้าสักหน่อยให้ชื้นใจ

ริมฝีปากที่ถูกบรรจงจูบลงไปอย่างตั้งใจ แทฮยองใช้มือที่ว่างของเขากดท้ายทอยของอีกฝ่ายไว้พยายามจะหาทางชิมความหวานจากอีกฝ่ายแต่ทว่าอีกคนไม่ยอมร่วมมือด้วย เขาจึงต้องใช้กำลังสักหน่อย กัดเข้าที่ริมฝีปากอีกคนมันแรงพอที่จะทำให้เลือดไม่มากไหลออกมา เขาใช้ลิ้นกวาดทั้งริมฝีปากนุ่มและข้างในโพรงปากอย่างชำนาญมีทั้งกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆที่ยังเหลืออยู่กับกลิ่นคาวเลือด ไม่ใช่แค่จูบธรรมดาๆแต่หนักหน่วงอยู่พอสมควร แทฮยองเป็นฝ่ายผละออกมาเสียก่อนที่ตัวเองจะอดใจไม่ไหวทำอะไรไปมากกว่านี้

ริมฝีปากของอีกคนดูบวมขึ้นมาถนัดตาบวกด้วยสีชมพูของปากนัมจุนแล้วตอนนี้เลยทำให้นัมจุนดูน่ารักขึ้นมาอีกล้านเท่า

 

 

 

จะบอกเธอว่ารัก หมดไปทั้งหัวใจ

“ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วแสดงว่า”

เธอได้ยินไหม 

“หัวหน้าก็ชอบผมเหมือนกัน”

เขายิ้ม

หยุดมันไม่ไหวตั้งแต่แรกเจอ

“แล้วยังจะปฏิเสธหัวใจตัวเองทำไมครับ”

อ่อนแอทุกครั้ง แค่เพียงได้เห็นแววตาของเธอ 

“ผมน่ะ…”

รวบร่วมความกล้าครั้งสุดท้าย

แค่เพียงต้องการให้เธอได้รู้

“ชอบหัวหน้ามากๆนะ มากพอที่จะทำให้ผมอกหักถ้าหัวหน้าปฏิเสธความรู้สึก”

“คำตอบของหัวหน้าผมอยากฟังมันนะ”

“ฉัน… ก็รู้สึกเหมือนนายนั้นและ”

“แบบไหนล่ะครับ?”

“ฉันก็ชอบนายเหมือนกัน”

และต้องจากวันนี้

 จากนาทีนี้

ไม่อยากจะเก็บแล้ว

oh baby ให้เธอได้รู้~

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

cajndjpwcaawss9

Half the world away{TaehyungxNamjun}

Half the world away

         My body feels young but my mind is very old

{TaehyungxNamjun}

 

 

 

“ในนี้มืดจัง จับมือผมหน่อยได้ไหมพี่นัมจุน

“อื้อได้สิ” รอยยิ้มเล็กๆพร้อมลักยิ้มข้างแก้มโผล่มาให้เห็น ถึงมันจะมืดแต่ก็รับรู้ได้ถึงรอยยิ้มที่ถูกส่งมา

“อย่าปล่อยมือนะ… ผมกลัว”

 

กระชับมือที่กอบกุมไว้แน่นขึ้นไปอีก เมื่อตัวเองรู้สึกหวาดกลัวความมืดของสองข้างทาง เย็น… มือใหญ่ที่กุมเขาไว้มันเย็นเกินไปราวกับมันถูกแช่แข็งเหมือนอาหารอุ่นเวฟ“มือพี่นัมจุนเย็นจังพี่ก็กลัวเหมือนกันหรอ?” เด็กน้อยเอ่ยถามขึ้นเพราะความเป็นห่วงกลัวด้วยว่าพี่นัมจุนจะรู้สึกหวาดหวั่นกับความมืดเหมือนตนเอง

พี่จะกลัวได้ไงแทฮยอง พี่ต้องคอยปกป้องเรานะ”

 

 

 

 

02:39  AM

 

ชายหนุ่มวัยยี่สิบสามปีสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน ใบหน้าหล่อหันมองนาฬิกาดิจิตอลที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมันบ่งบอกว่าตอนเช้าใกล้จะมาถึงในไม่กี่ชั่วโมง ชายหนุ่มยิ้มบางๆเพียงแค่เพราะเขาคิดว่าตัวเองกำลังคิดถึงใครอีกคนซะจนเขาต้องเก็บมันไปฝันบ้าๆบอๆ … อันที่จริงก็ไม่ใช่ความฝันบ้าบออะไรหรอกความจริงแล้วเขาฝันแบบนั้นมาตลอดตั้งแต่อายุสิบขวบ แต่คิมแทฮยองก็ไม่เก็บมันมาใส่ใจให้ชีวิตมันน่าปวดหัวมากขึ้นเพราะที่เป็นอยู่ชีวิตของมนุษย์อย่างเราๆก็ยุ่งเหยิงมากพออยู่แล้ว ถ้าคนเราจะฝันถึงคนรักก็คงไม่แปลกเท่าไหร่หรอกมั้ง

ขายาวก้าวอาดๆไปตามท้องถนนใจกลางกรุงโซล เจ้าตัวพยายามซึมซับกับบรรยากาศตามท้องถนนของยามเช้าที่ไม่ดูน่าปวดหัวเหมือนช่วงสายๆ คิมแทฮยองก้มลงมองนาฬิกาข้อมืออีกทีเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้มาสายแล้วให้อีกคนนั่งรออยู่ก่อนหน้า มันเป็นความเกรงใจต่อคนรักของเขาเองก็ในเมื่อคิมนัมจุนแก่กว่าเขาตั้งหลายปีจะให้มานั่งรอเด็กหนุ่มที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะมาไม่กี่ปีได้ยังไงแบบนั้นคงถูกนัมจุนสุดรักสุดหวงของเขามองว่าเป็นคนไม่ตรงต่อเวลาก็เป็นได้

เขายิ้มออกมาทุกทีที่นึกถึงภาพนัมจุน เสียงของนัมจุน เขารู้สึกดีใจทุกครั้งที่มีนัมจุนอยูด้วยกันมาตั้งแต่เขายังไม่รู้ประสีประสาจนตอนนี้แทฮยองสามารถทำงานและหาเงินด้วยตัวเองโดยไมต้องขอพ่อแม่กินได้แล้ว เขาสัญญากับตัวเองว่าเมื่อโตขึ้นตำแหน่งคนรักของนัมจุนต้องเป็นเขาที่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นคนคอยดูแลพี่ชายที่เขารักมาโดยตลอดบ้าง และมันก็เป็นอย่างงั้นจริงๆเมื่อแทฮยองอายุสิบเก้าปีและมีความกล้าพอจะสารภาพความรู้สึกที่มีต่อพี่ชาย นับตั้งแต่ตอนนั้นก็เป็นเวลาห้าปีแล้ว ทั้งคู่คบหากันในฐานะคนรัก และมันก็จะผ่านสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปีในฐานะคนรักด้วยกัน เขาหวังว่ามันจะเป็นแบบที่เขาวาดฝันเอาไว้น่ะนะ

 

คิมแทฮยองก้าวเข้ามาในร้านกาแฟเล็กๆทีตั้งอยู่ในซอยกลางใจเมืองใหญ่ ทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะข้างหน้าร้านตัวเดิมเหมือนทุกคราแต่ต่างออกไปที่วันนี้คนดูแน่นร้านผิดปกติ เลื่อนสมาร์ทโฟนเครื่องประจำไปบนแอฟนกสีฟ้าอยู่ได้สักพักพนักงานหน้าตาคุ้นเคยก็ตรงมารับออเดอร์จากลูกค้าขาประจำ “เหมือนเดิมหรือเปล่าคะ? ชาเขียวร้อนไม่ใส่คอฟฟี่เมตน้ำตาลหนึ่งช้อน”

“วันนี้ผมอยากลองเมนูใหม่ๆบ้าง มีอะไรแนะนำไหมครับ?”

พนักงานสาวยิ้มรับพร้อมยื่นใบเมนูมาให้เลือกสรร เธอเอ่ยแนะนำเมนูให้คิมแทฮยองได้ตัดสินใจง่ายขึ้น ก่อนที่เขาจะสะดุดตากับเมนูที่คนรักชอบกาแฟดำที่แทบจะไม่มีความหวานจากน้ำตาลเลย แทฮยองอาจเป็นคนที่ไม่ชอบกินของหวานแต่แบบนี้มันจะไม่ดูขมไปหน่อยหรอเคยอยากจะลองชิมก็คงครั้งนี้ครั้งเดียวแหละมั้ง เขาคิด

“เอ่อคือว่าขอเมนูเดิมน่าจะดีกว่าครับ” ใจยังไม่กล้าเสี่ยงกินของขมขึ้นคอแบบนั้นก็ได้แต่สั่งเมนูเดิมไปเพราะสรรหาอะไรก็ไม่ถูกใจสักอย่าง

 

 

 

 

 

“มานานรึยัง?” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นขณะแทฮยองเลื่อนดูโทรศัพท์เรื่อยเปื่อย รอยยิ้มของแทฮยองปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่นานหรอกครับ”

“แต่พี่ว่าพี่มาสายไปตั้งเยอะนะ” เจ้าตัวพูดขณะมองนาฬิกาข้อมือ เมื่อเห็นว่าเข็มยาวมันชี้ไปยังเลขสิบสองแล้ว “ขอโทษนะแทฮยองอ่า”

“คิดมากน่า ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรพี่สักหน่อย” ไม่พูดเปล่าแต่กลับใช้มือของตัวเองหยิกเข้าที่แก้มกลมๆของนัมจุนอีกต่างหาก  แก้มนัมจุนคงเป็นสิ่งที่น้องชายคนนี้ชอบที่สุดเวลาอยากจะแกล้งให้อีกฝ่ายเขินเพราะทุกครั้งที่สัมผัสโดนกับแก้มนุ่มๆนั่นสีแดงบนใบหน้านัมจุนจะปรากฏชัด

 

 

large

 

 

 

 

“นัมจุนๆ แทแทหนาวกอดหน่อยได้ไหม?”

เด็กชายตัวเล็กกำลังอ้อนพี่ชายที่สูงกว่าเขาให้เปิดรับอ้อมกอดอุ่นๆสำหรับอากาศที่หนาวเหน็บ ดวงตากลมโตสื่อความหมายได้เป็นอย่างดีเมื่อพี่ชายกอดเขาเพื่อคลายหนาว

“ไม่เข้าบ้านหรอแทฮยอง พี่ว่าอากาศข้างนอกมันหนาวไปสำหรับเรานะ” เด็กน้อยสั่นหน้าไปมาพร้อมเอ่ยเสียงบอกกล่าวความในใจ

“ก็ถ้าแทแทเข้าบ้านไปเราก็ไม่ได้เล่นด้วยกันสิ แทแทอยากอยู่กับนัมจุนนิ”

เขาเพียงพยักหน้ารับกับประโยคบอกเล่าและกระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิมเสียจนคนตัวเล็กรู้สึกได้ถึงแรงกอดของนัมจุน  พวกเขาสองคนเพียงแค่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ได้ขยับไปไหน เพียงแค่อยากให้เวลาที่อยู่ด้วยกันนานเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะถ้าครั้งนี้แทฮยองกลัวว่าจะไม่เจอนัมจุนอีก นัมจุนของแทฮยองกำลังจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แทฮยองก็คิดนะว่าต่างประเทศที่นัมจุนพูดถึงมันไกลแค่ไหนกันเชียวเพราะนัมจุนบอกกับเขาว่าเราอยู่ห่างกันครึ่งโลก โลกของเราใหญ่ขนาดไหนกันแทฮยองก็นึกไม่ออกเหมือนกัน นึกไปแล้วก็ไม่ทำให้ความคิดถึงที่มีต่อพี่ชายข้างบ้านน้อยลงเลย

“นัมจุนครึ่งโลกนี่ไกลขนาดไหนหรอ? แทแทไปหานัมจุนทุกวันได้ไหม?”

คำถามที่ดูโง่เขลาของเด็กน้อยเอ่ยออกมาเพียงหวังให้เป็นได้จริงอย่างที่เขาปรารถนา

พี่ชายตัวโตส่ายหัวช้าๆ “อีกไม่กี่ปีพี่ก็กลับมาแล้วนะ สัญญาสิว่าจะไม่ลืมกัน” เขายืนนิ้วก้อยออกมาทำพันธสัญญาที่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปตามนั้นหรือเปล่า

 

.

.

.

.

.

 

 

“แทฮยองฟังพี่อยู่หรือเปล่าเนี่ย หื้ม?” คนข้างกายเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นคนรักของตนเอาแต่สนใจสิ่งอื่นมากกว่าตนเอง

“ครับฟังอยู่สิ”

“งั้นไหนบอกสิว่าพี่พูดเรื่องอะไร?”

เหมือนงานช้างกำลังจะตกทับแทฮยองยังไงไม่รู้ นี่เอาเข้าจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ใจฟังในสิ่งที่นัมจุนพูดไปเมื่อสักครู่เลยด้วยซ้ำ  สีหน้าอึกอักของแทฮยองแสดงออกชัดเจนที่พูดออกไปว่าตั้งใจฟังคนข้างๆอยู่นั้นโกหก

“เห็นมะ ก็ไม่ได้ฟังพี่อยู่เลย” พี่ชาย ไม่สิ คนรักของเขาหันหน้าไปทางอื่นบ้าง เขาเลือกที่จะแค่จับมือนัมจุนเฉยๆแทนการเข้าไปง้ออ้อนแบบเด็กๆ และกระชับให้แน่นขึ้นมองตรงไปยังคนพี่

“นัมจุน” เสียงเรียกอ้อนๆเอ่ยขึ้นเมื่อนัมจุนดูเหมือนจะโกรธจริงๆจังๆ “นัมจุนพี่มองผมหน่อยสิ” เขย่ามือที่จับอยู่ด้วยพร้อมทั้งลุกขึ้นมายื่นตรงหน้าอีกคน

คุกเข่าอยู่ข้างหน้าแล้วซบลงบนตักของอีกฝ่าย “โอเคๆไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้นหรอก”

ทุกครั้งที่เราสัมผัสกันไม่ว่าจะด้วยทางใดก็ตามทำกันนะที่แทฮยองรู้สึกไม่อบอุ่นเลย ไม่รู้สึกเลยสักครั้งตั้งแต่ตอนพี่ชายกลับมาจากต่างประเทศ เหมือนมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปจากเดิม แต่จากเดิมของแทฮยองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร

ทำไมกันนะ? มันยังคงเป็นข้อสงสัยสำหรับเขา

 

 

 

 

 

 

 

ภายในห้องอาหารของบ้านสองแม่ลูกกำลังรับประทานอาหารเย็นทั่งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนักเพียงสอบถามเรื่องประจำวันทั่วๆไป อย่างเช่น เป็นยังไงบ้าง ทำงานหนักหรือเปล่า อะไรทำนองนั้น แล้วก็แค่จัดการกับอาหารในส่วนของตัวเองให้หมดโดยที่บรรยากาศไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่

 

แต่สำหรับวันนี้กำลังจะมีบทสนทนาบทใหม่ขึ้นระหว่างโต๊ะอาหารที่เงียบ แทฮยองคิดว่าจะพูดมันออกมาได้สักระยะนึงแล้วถ้าเขามีความมั่นใจมากพอ “แม่ครับ”

ผู้เป็นแม่เงยหน้าขึ้นจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า “คือผมมีเรื่องสำคัญจะบอกครับ”

หล่อนพยักหน้ารับ “อืม ว่ามาสิ”

ใจหนึ่งค่อนข้างกังวลกับสิ่งที่จะบอกกล่าวบุพการีไปกลัวว่าผลตอบรับที่ได้จะไม่ดีเท่าที่ควร แต่เขาเตรียมใจมาทั้งคืนคงไม่อยากให้เสียเปล่าที่เกริ่นหัวเรื่องว่าสำคัญขนาดนั้นแล้วก็คงต้องพูด

“ผม… จะแต่งงานกับนัมจุนครับ”

“นัมจุน?” หล่อนเลิกคิ้วขึ้น “นัมจุนไหนทำไมแม่ไม่รู้จัก”

“แม่ครับ นี่ล้อกันเล่นหรือเปล่า ก็พี่นัมจุนข้างบ้านเราตอนเด็กๆไง”

“นัมจุน…” หล่อนสายหัวไปมาราวกับว่าเรื่องที่ได้ยินเป็นเรื่องตลกร้ายสำหรับหล่อน “ไม่ แต่งไม่ได้” ก็ในเมื่อนัมจุนที่หล่อนรู้จัก…

ใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่มลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกำลังล้อเธอเล่นหรืออะไรกัน  นี่เรื่องตลกแบบไหนที่ทำให้เธอรู้สึกกลัวได้ขนาดนี้

“แม่ครับฟังผมก่อนสิ ผมมีเหตุผลนะ ทั้งๆที่แม่ก็รู้จักนัมจุนดีนี่ทำไมกันครับ? โอเคผมยังไม่ได้ถามเรื่องนี่กับเขาแต่เดี๋ยวผมถามเขาแน่ๆ ผมรักนัมจุนมากนะแม่”

ใจสั่นรัวทำไมกัน?

“ไม่ได้ยังก็ไม่ได้!” หล่อนปฏิเสธเสียงแข็งไม่มีการอ่อนข้อให้แม้แต่นิดเดียว

“แม่ผมขอเถอะฟัง-” เสียงตวาดดังลั่นไปทั่วบ้านกลบเสียงที่แทฮยองยังพูดไม่จบซะก่อน

“แกจะแต่งงานกับผีหรือไงห้ะ?!”

 

แม่กำลังพูดอะไรเขาไม่เข้าใจเลยสักนิด แม้แต่นิดเดียวเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้ เรื่องแค่นี้ทำไมเธอถึงพูดถึงนัมจุนแบบนั้น ผีอะไร? ทำไมเธอต้องดูต่อต้านกับสิ่งที่ลูกชายของตนพูดนักหนา “ผมไม่ตลกกับแม่นะ” แทฮยองรู้สึกโกรธ สับสน เสียใจ เขาไม่อาจรับรู้สิ่งที่ดังไล่หลังได้อีกแล้วในตอนนี้

แทฮยองกระแทกประตูห้องนอนด้วยอารมณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ เขาพยายามเรียบเรียงกับสิ่งที่แม่ของเขาเอ่ยขึ้น แต่งงานกับผี? ทั้งสับสนและรู้สึกเจ็บปวดที่ใจในคราวเดียวกัน นัมจุนที่เขารู้จักใช่สิ่งที่เป็นนัมจุนจริงๆหรอ เขาตั้งคำถามขึ้นกับใจตัวเอง ว่าเอาเข้าจริงๆแล้วสิ่งที่ปรากฏขึ้นทุกครั้งคือนัมจุนจริงๆหรือเปล่า หัวสมองเริ่มตื้อ น้ำตาที่พยายามเช็ดออกไปเท่าไรก็ไม่หมดสักทีพยายามข่มตาให้หลับเพื่อจะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องต่างๆ แต่ทำเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้สักที พยายามจะนึกก็นึกไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงทำให้แม่เขาพูดในสิ่งตรงข้ามกับที่เขาเห็น

large

แสงขาวโพลนสว่างจ้าเกินกว่าจะปรับโฟกัสได้ตอนนี้ แทฮยองทำแค่เพียงหรี่ตามองภาพตรงหน้าที่กำลังจะปรากฏขึ้น ภาพเด็กชายอายุเก้าปีกำลังแอบฟังแม่คุยโทรศัพท์อยู่ด้านข้าง เสี้ยวหน้าด้านข้างของคนเป็นแม่ดูไม่ค่อยสู้ดีนักทำไมกัน? ทั้งๆที่เขาจะเป็นคนได้รับสายของนัมจุนแท้ๆ หน้าหงิกงอลงเมื่อนึกถึง ไม่นานนักการสนทนาก็หยุดลงพร้อมกับแม่ที่หันมามองเขา หล่อนเดินตรงเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้า กระชับมือที่กอบกุมอยู่ให้แน่นขึ้น

“แทฮยอง” เสียงสั่นเครือปนสะอึกเอ่ยขึ้น “ลูกตั้งใจฟังเรื่องที่แม่จะบอกให้ดีนะ”

เด็กน้อยแทฮยองพยักหน้ารับ เขาอยากจะฟังเรื่องของนัมจุนจะแย่อยู่แล้วอยู่ทางนั้นนัมจุนจะเป็นยังไงเขาได้แต่จิตนการถึงอีกคนที่อยู่คนละครึ่งโลก

“นัมจุนจะไม่ได้กลับมาแล้ว”

“ไม่ได้กลับ? ทำไมละครับ…. ก็นัมจุนสัญญากับแทแทแล้วว่าไม่กี่ปีก็จะกลับมา  อึก ทำไมตอนนี้มาผิดสัญญากัน ทำไม” น้ำตาของแทฮยองไหลลงดั่งเขื่อนที่พังทลายลงมา

ยากยิ่งนักที่จะบอกกับลูกชายสุดที่รักของตัวเองว่าคนที่เขาเฝ้ารอคอยทุกๆวันได้จากไปแล้ว จากไปโดยไม่มีวันกลับมาอีกจะเหลือก็แต่เพียงความทรงจำก็เท่านั้น

“แทแทครับ …. นัมจุนตอนนี้เขาอยู่บนสวรรค์แล้วเขาไปอยู่ในที่ๆสบายแล้วนะ”ลำบากทุกคำพูดที่จะพูดออกมาหัวใจของผู้เป็นแม่เจ็บปวดยิ่งกว่าเมื่อต้องเห็นน้ำตาของลูกชาย

“ไม่จริง อึก…. แท ฮือ แท ไม่เชื่อหรอก! ไม่เชื่อ แม่โกหก ฮือ อึก แม่ อึก โกหก แททำไม ฮือ”

ไม่มีคำพูดใดๆได้ถูกเอ่ยออกมาอีกมีเพียงแต่เสียงสะอึกสะอื้นของแทฮยองเท่านั้น เจ็บยิ่งกว่าตอนคลอดแทฮยองออกมาซะอีก หล่อนรับรู้ถึงความเจ็บปวดของลูกดีแต่หล่อนไม่สามารถทำอะไรให้ดีขึ้นได้เลย

ลูกชายของเธอเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องนอน ไม่พูดไม่จา ไม่ทำอะไรที่ทำให้นึกถึงนัมจุนอีกเลยเป็นปีๆ แต่แล้วเมื่อแทฮยองอายุสิบขวบเขาก็กลับมาร่าเริงเป็นปกติทำเหมือนว่าทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เล่นในสถานที่ที่ชอบเล่นกับนัมจุน เล่นของเล่นที่นัมจุนซื้อให้ อ่านนิทานที่นัมจุนชอบอ่านให้ฟังอยู่บ่อยๆ หล่อนไม่ได้สะกิดใจกับความปกติที่ไม่ปกติของลูกเธอจนถึงตอนนี้ ตอนที่รู้ว่าลูกของตนสร้างนัมจุนในจิตนการขึ้นเพื่อปิดเปื้อนความจริงที่เคยเกิดขึ้น

หล่อนรู้แล้วว่าลูกของตนไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้อย่างเดิม ถึงจะเจ็บปวดแค่ไหนแต่หล่อนก็ต้องนำลูกของตนมาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวช

 

 

 

ห้องแคบๆสี่เหลี่ยมสีขาวเป็นที่อยู่ใหม่สำหรับแทฮยอง มีกิจวัตรประจำวันแค่ไม่กี่อย่าง กินข้าว กินยา พยาบาลมาตรวจอาการ และฉีดยาบ้าบออะไรไม่รู้เข้าร่างกายของชายหนุ่ม เจ็บปวดยิ่งกว่าการถูกขังอยู่ในกรงหนูนี่ คือการที่เขารับรู้ความจริงหมดแล้วทุกอย่าง ที่บอกว่าอยู่ห่างกันคนละครึ่งโลกตอนนี้คงเป็นคนละโลกแล้วแหละ อยากเจอ อยากกอด อันที่จริงเขาอยากจะสร้างตัวตนของนัมจุนขึ้นมาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดทั้งหมด แต่ทำเท่าไรก็มีแค่เพียงความว่างเปล่าในห้องโล่งๆ น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง “ผมคิดถึงพี่นะนัมจุน”

“อย่าคิดถึงพี่อีกเลยเด็กน้อย”  เสียงเดิมที่ดูคุ้นหูดังขึ้นในโสตประสาท

“ผม… คิดถึงพี่จริงๆนะ”

“ปล่อยพี่ไปได้ไหม?”

ไม่อยากยอมรับกับคำว่าปล่อยของนัมจุน แต่ถ้าเป็นความต้องการของอีกฝ่ายเขายินดีพร้อมที่จะทำให้

“ผมรักพี่นะขอให้พี่รู้ไว้”

ภาพเลื่อนลางที่เห็นไม่ค่อยชัด แต่แทฮยองมั่นใจว่าเป็นนัมจุนกำลังค่อยๆหายไปดังอากาศธาตุ อยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสแต่ใจไม่กล้าพอ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่ แต่เขาก็ยังอยากจะเอ่ยประโยคสุดท้ายที่ต้องการให้คนรักได้ฟัง

“ผมรักพี่นัมจุน”

. . . .

หลงทางอยู่ในเขาวงกตแสนคดเคี้ยวเกินกว่าจะยอมรับความเป็นจริงได้เพราะมันถูดปิดเปื้อนจนภาพความจริงถูกกลืนหายไป

 

 

 

 

 

*notes

บางคนอาจงงว่าทำไมนัมจุนตายละตายตอนไหนหรืออาจเดาเรื่องได้อยู่แล้ว เรื่องนี้แทฮยองได้รับความเจ็บปวดเมื่อตอนเด็กๆทำให้เขาสร้างภาพในจิตนการขึ้นเพื่อปิดเปื้อนความเป็นจริงที่เขาได้รับมันเป็นกลไลป้องกันตนเองจากความเจ็บปวด สำหรับเรื่องที่ร้ายแรงมากกว่า บางช่วงที่อาจจะแปลกใจว่าทำไมตัดไปแค่นี้ล่ะ ไม่ต่อหน่อยเหรอ ตันมากค่ะตื้อเลยทีเดียวยังไงก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ด่าได้(แต่อย่าแรง)5555555

 

 

 

 

Forever

 

*note : ไม่ใช่ฟิคแต่อย่างใดเป็นเพียงตัวอักษรที่สื่อถึงอารมณ์ของคนเขียนก็นั้นนะคะ เพราะหลังจากที่ฟัง young forever มันก็รู้สึกหน่วงๆเอง 555555 ก็เลยเขียนความรู้สึกตัวเองผ่านตัวอักษรทั้ง 1124 คำ
SWAY

ตอนนี้ขาของผมมันก้าวออกมาข้างหนึ่งแล้ว

และผมเองกำลังเดินไปบนถนนของความหวัง

ความหวังที่ผมสร้างมันขึ้นมาจากความฝัน

ช่างไร้สาระสิ้นดี ใครต่อใครก็บอกกับผมเช่นนั้น

ผมไม่สนหรอกที่เท้าของใครกำลังเหยียบย้ำผมให้จมดิน

ก็เพราะมันเป็นความฝันของผม ผมมีสิทธิ์ในการเลือกตัวละคร

เลือกบทดีๆให้กับตัวเอง ก็เพราะมันคือความฝันของผมยังไงล่ะ

มันเริ่มจมไปแล้วละขาที่ผมก้าวออกมา

อยู่ๆก็มีพื้นน้ำที่กว้างไกลมารองรับผมแทนที่จะเป็นพื้นดิน

กลัวเหลือเกินเพราะในผืนน้ำนี้ผมไม่รู้เลยว่ามันลึกแค่ไหน

ผมมองไปยังสุดขอบฟ้าและพบว่ามันยังว่างเปล่า

ผมตัดสินใจที่จะก้าวขาอีกข้างออกมา

ในทีแรกน้ำที่ตื้นอยู่แค่ค่อนขา

แต่ตอนนี้ผมจมลงไปแล้วครึ่งตัว

สายน้ำเย็นที่ปะทะเข้ามาผมรู้สึกหนาวเหลือเกิน

เสียงเรียกหนึ่งที่ตะโกนอยู่ด้านหลังทำให้ผมต้องหยุดการกระทำไว้ทั้งหมด

เป็นมือของคุณเองที่ยื่นมาแล้วจับมือที่สั่นเทาของผมไว้

อบอุ่น ที่พักพิงของผมกำลังโอบกอดผมไว้ด้วยสายตา

คุณยิ้มอีกครั้งหลังฉุดผมขึ้นมายังผืนน้ำที่ผมกลัวว่าจะจมลงไป

พร้อมกับความฝันที่ผมยังไม่เคยกล้าจะลองทำ

น้ำเสียงที่อ่อนหวานของคุณปลอบประโลมผม

บอกผมสิว่าคุณจะประคองผมไว้ด้วยสองมือของคุณ

ผมถามออกไปอย่างเห็นแก่ตัว

แต่… คุณไม่ลังเลเลยที่จะตอบตกลงกับคำถามแสนโง่ของผม

ผมออกก้าวเดินมาอีกครั้ง พร้อมมือที่กอบกุมคุณเอาไว้แน่น

เรากำลังเดินไปในเส้นทางเดียวกันใช่ไหม

เส้นทางที่มีแค่พวกเราเดินไปด้วยกัน

คุณพยักหน้าตอบรับกับทุกสิ่งที่ผมพูด รู้สึกเห็นแก่ตัวเหมือนกันนะ

เพราะว่าคุณจะได้อะไรจากการดูแลผมแบบนี้ล่ะ?

ก็ตอนนี้ผมเริ่มเดินออกไกลแล้วละ

ไกลจากคุณที่ละก้าว ทีละก้าว

ดอกไม้กำลังบานสะพรั่งในทุกๆก้าวที่ผมเหยียบลง

ผมหันหลังกลับมา และพบว่าคุณยังคงยืนอยู่

ตรงที่ๆคุณส่งผมออกมาจากความกลัว

ใบหน้าทียิ้มแย้มของคุณกำลังมองตรงมาที่ผม

คุณมอบมันไว้ให้ผมคนเดียวใช่ไหม?

รู้สึกหวาดหวั่นในขณะเดียวกันที่ผมออกเดินมาไกล

ผมเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า?

แต่ผมก้าวออกมาไกลเกินไปผมกลับไปหาคุณไม่ได้แล้ว

คุณยังเชื่อมั่นในเด็กหนุ่มคนนี้อยู่หรือเปล่า

เพราะผมน่ะอยากให้คุณได้เห็นความสำเร็จ

ที่คุณค่อยผลักดันผมมานะ

แต่ก็นั้นแหละผมจะกลับไปหาคุณได้ยังไงในเมื่อ…

ผมอยู่ด้านบนของภูเขาลูกนี้แล้ว

คุณจะทิ้งผมไปไหมนะ?

คุณยังจะรักผมเหมือนตอนที่คุณเจอผมครั้งแรกหรือเปล่า?

ผมทำอะไรตอบแทนเพื่อคุณไม่ได้เลย

ผมเลยลองเขียนเพลงที่คุณอาจชอบไปให้

ผ่านสายลมที่พัดไปตามท้องนภา

คุณได้รับมันไว้แล้วใช่ไหม?

เพราะผมตั้งใจทำมันเพื่อคุณเลยนะ

ผมรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่ผมเห็นใบหน้าของคุณ

เพราะคุณยิ้มออกมาทุกครั้งที่มองมาที่ผม

ผมอยากให้มือของเราจับกันไปตลอดทาง

ขอโทษที่ผมเห็นแก่ตัว

ก็นั้นเป็นเพราะผมรักคุณ

 

  

 

 tumblr_mi4j1pv6gA1s43s6do1_500.gif

 

 

 

ฉันเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งหลงทางอยู่ในความกลัว

กลางท้องทะเลที่กว้างใหญ่เขายืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว

ไม่รู้อะไรที่ทำให้ฉันกล้าเดินลงไปเพื่อฉุดรั้งคนแปลกหน้าอย่างคุณ

ใจที่ค่อนข้างสับสนของฉันมันเต้นรัวเมื่อหน้าตาเศร้าๆของคุณ

เงยขึ้นมองแผ่นฟ้าสีคราม

ฉันยิ้มขึ้นมา เพราะไม่อยากให้คุณกลัว

ฉันแค่อยากปลอบประโลมความกลัวของคุณ เพราะฉันน่ะก็เคยกลัว

เหมือนอย่างที่คุณกำลังเป็น

ฉันเอ่ยคำมั่นสัญญากับคนที่แทบจะไม่รู้จักว่าฉันจะคอยจับมือคุณไปด้วยกัน

ไปบนเส้นทางที่คุณอย่างจะไป ฉันพร้อมถ้าเราจะเดินออกมาจากทางแยก

แห่งความสิ้นหวัง เพราะฉันน่ะอยากเห็นรอยยิ้มของคุณ

ในตอนที่คุณมีทุกอย่างพร้อมแล้ว

ขอบฟ้าที่เราเห็นอยู่ตรงหน้ามันดูว่างเปล่า

แต่ฉันกลับบอกคุณไปว่า ไม่เป็นไร

เราจะสร้างทุกอย่างจากความว่างเปล่าด้วยกัน

ฉันเชื่อมั่นถ้าหากว่าเป็นคุณแล้วละก็ฉันเชื่ออย่างเต็มร้อยเลย

คุณมักจะถามหาความมั่นใจในตัวฉันเสมอ

แต่คุณไม่ต้องกลัวไปหรอก ฉันทิ้งให้คุณเดินไปตามลำพังไม่ได้

แต่ตอนนี้คุณเองเริ่มเดินเร็วกว่าฉันไปก้าวหนึ่งแล้วนะ

อ่า ไม่เป็นไรหรอกคุณเดินไปเถอะ

ดูสิตอนนี้เหล่าวิหกที่เหินฟ้าอยู่บนท้องนภากลับบินมาเคียงข้างคุณ

วิหกที่ดูสีสันสวยงามมันบดบังฉันจนฉันเริ่มจะมองเห็นคุณไม่ชัดแล้ว

กลัว ใจฉันเริ่มไม่ค่อยมั่นคงเลยล่ะ เพราะมีคนอื่นๆกำลังเดินไปทางคุณ

ทางเส้นเดียวกับที่คุณกำลังเดินไป เด็กหนุ่มของฉันไม่เป็นไรนะ

รอยยิ้มที่มีค่าของฉันน่ะมอบให้คุณคนเดียวอย่างกังวลไปเลย

ตลอดไปฉันอาจพูดคำนั้นออกมาไม่ได้หรอก เพราะฉันเอง

ก็กลัวว่าคุณจะปล่อยมือฉันไปเช่นกัน

ก็คุณเริ่มอยู่ไกลเกินกว่าฉันจะเอื้อมถึงแล้ว

อย่างร้องไห้นะ ฉันไม่ได้ไปไหน

ฉันยังคอยผลักดันให้คุณเดินทางต่อไปด้วยกำลังใจของฉันเอง

มันจะมีค่าพอหรือเปล่าแค่กำลังใจของฉันน่ะ?

มันจะปลอบให้คุณหายเหนื่อยได้ไหมในเวลาที่ฉันมองไม่เห็นคุณ

ขอโทษนะ ขาของฉันเริ่มอ่อนแรงแล้ว

แต่คุณไม่ต้องกังวลนะ ฉันยังยิ้มอยู่ ไม่ได้ร้องไห้ อย่างที่คุณกลัว

เด็กหนุ่มที่ประสบความสำเร็จของฉัน

ฉันยังมองแค่คุณ

แค่คุณที่ยืนอยู่ด้านบนของภูเขาแห่งความฝัน

คุณยิ้มใช่ไหม?

ไม่ได้ร้องไห้ใช่หรือเปล่า?

อย่าร้องไห้เลยนะ เพราะฉันจะเจ็บปวดเมื่อคุณร้องไห้

อ่อนไหวไปตามแรงลมดอกไม้ที่ล้ำค่า

แต่อย่าร่วงโรยดั่งใบไม้ที่แห้งเฉาเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

First Kiss{JungkookxNamjun}

title: First Kiss

pairing: JungkookxNamjun

rating: G

1cm

 

ใกล้…. มันใกล้เกินไปจนทำให้หัวใจของใครบางคนกำลังทำงานเกินหน้าที่ ปกติแล้วมันควรจะเต้นแค่72ครั้ง/นาที  แต่ตอนนี้ก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจมันกำลังจะทำให้คิมนัมจุนแทบเป็นบ้า

 

 

 

 

 

 

“พี่นัมจุนครับ” เสียงเรียกของเด็กที่อายุน้อยกว่าเจ้าของชื่อปลุกนัมจุนที่กำลังหลับอยู่บนเตียงนอนให้ตื่นขึ้น เสียงตอบรับครางในลำคอบ่งบอกว่าเขาตื่นแล้วในขนาดที่ยังไม่อยากลืมตาก็เถอะ ใบหน้าครึ่งหลับครึ่งตื่นจับจ้องไปยังผู้มาก่อกวนความสุขของเขาในเวลาเช้า

 

 

“มีอะไร”

“ผมทำอาหารเช้าเสร็จพอดีเลยไม่อยากให้มันเย็นเดี๋ยวจะไม่อร่อย เลยมาเรียกพี่ลงไปกินด้วยกันน่ะครับ”

“อื้อๆ เดี๋ยวลงไป”

 

 

 

 

แม้ว่าจะตกปากรับคำของผู้เป็นน้องแต่เจ้าตัวก็ยังทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆที่เพิ่งลุกขึ้นมาเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ถึงเรื่องของกินจะเป็นอันดับหนึ่งไม่เป็นรองในการนอนของนัมจุนแล้วล่ะก็แต่นี่มันก็เช้าวันเสาร์วันที่อากาศดีๆหิมะแรกเริ่มตกมันเหมาะแก่การซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาซะมากกว่าการตื่นตั้งแต่ไก่โห่เป็นไหนๆ

หลังการทิ้งตัวลงไปของนัมจุนก็ทำให้คนน้องพยายามดึงดันอีกคนให้ลุกขึ้นมาตามที่ตัวเองต้องการ เปล่าประโยชน์ เมื่อคนเป็นพี่มีร่างที่สูงกว่าทำให้เขาเสียเปรียบในเวลาแบบนี้ อ่า จอนจองกุก รู้สึกอยากจะสูงกว่าอีกคนก็เวลาแบบนี้แหละ ใช่จอนจองกุกเตี้ยกว่าคิมนัมจุน ตั้ง 4เซนติเมตร ตั้ง 4เซนเลยนะ เพราะเวลายืนข้างๆกันทำให้เขากลายเป็นน้องชายตัวเล็กที่น่ารักน่าเอ็นดูในหมู่พี่ๆ มันก็ดีอยู่หรอกถ้าคนอื่นจะชอบจะเอ็นดู แต่สำหรับจองกุกแล้วมันค่อนข้างน่าอายอยู่เหมือนกันที่ตัวเองดูเด็กกว่าคนที่ชอบ เขาก็อยากจะเป็นผู้ชายเท่ๆ ให้คิมนัมจุนชื่นชอบบ้างก็เท่านั้น

 

 

 

เสียงอู้อี้ฟังไม่ค่อยจะได้ศัพท์เอ่ยขึ้นมา หลังจากนอนมองเพดานมาซักพัก

 

“จองกุกอ่าาาาา~ พี่ขออีกห้านาทีนะ”

“แลกกับอะไรครับ?” จองกุกก็แค่นึกอยากจะเอาเปรียบพี่ชายบ้าง ในตลอดเวลาที่เขาต้องค่อยทำทุกอย่างในบ้านราวกับว่าเขาตบแต่งมาเป็นภรรยาของนัมจุนซะอย่างงั้น

“อะไรก็ได้ถ้านายต้องการ”  ยิ้มเหนือกว่าผู้เป็นพี่จองกุกก็ยื่นข้อเสนอของตนให้อีกฝ่าย

“จูบหนึ่งครั้ง ฟังดูเป็นไงครับ?” ใครว่าเด็กคนนี้ไร้(ร้าย)เดียงสา

“ย่าห์ๆ มันจะมากเป็นแล้ว”

“งั้นจะบอกว่าไม่ได้หรอ? ไหนบอกว่าจะทำอะไรก็ได้ไง”

“แก่แดด”  ปากหนายู่ขึ้นเมื่อรู้สึกว่าตัวเองจะโดยเอาเปรียบ

 

 

 

 

 

ไม่ใช่ว่านัมจุนไม่รู้ว่าจองกุกคิดยังไงกับตัวเอง เขารู้ ทุกคนในกลุ่มที่เป็นเพื่อนกันก็รู้ รู้ว่าจองกุกชอบคิมนัมจุนมากแค่ไหน ก็เล่นเข้ามาตีซี้กันแบบโต้งๆ ใครทีไหนจะโง่ดูไมออกว่าการกระทำของน้องมันสื่อถึงอะไร

 

 

 

 

 

10cm

 

 

 

 

 

9cm

 

 

ตั้งแต่ตอนไหนที่จองกุกมาหยุดข้างหน้า ใบหน้าที่ดูเด็กกว่ารอยยิ้มที่สดใสราวกับหลุดออกมาจากการ์ตูน ตึกตึก ตึกตึก…

 

 

8cm

7cm

6cm

.

.

.

 

ใบหน้าที่ดูเหมือนจะขึ้นสีจากอาการเขินไม่ได้หลบเลี่ยงการกระทำของจองกุก มันหยุดหมุนไปแล้วเข็มนาฬิการู้สึกเหมือนทุกอย่างช้าลง ร่างกายของอีกคนค่อยๆขยับเข้ามา อีกครั้งที่คนเป็นพี่รู้สึกสูญเสียการควบคุมตัวเองไปชั่วขณะ มันใกล้เข้ามาอีกแล้ว

 

 

 

5cm

4cm

ตึกตึก

ตึกตึก

3cm

.

.

.

 

 

 

 

 

2cm

.

.

.

.

เต้นแรงขึ้นทุกทีหัวใจดวงนี้คล้ายกับเดินเหยียบระเบิด มันพร้อมที่จะรับการสั่นสะเทือนของแรงระเบิดทุกเมื่อถ้าริมฝีปากของคนทั้งสองคนสัมผัสกัน

 

 

 

 

 

1cm

 

บรรจบกันริมฝีปากของอีกฝ่ายกำลังแตะบนริมฝีปากของนัมจุน เสี้ยววินาทีแรกที่สัมผัสนัมจุนเกือบจะมันผละมันออกแต่ด้วยเพราะความมือไวของน้องประคองท้ายทอยเอาไว้นัมจุนเลยไม่มีที่ให้หนี เหมือนกำลังถูกไล่ต้อนให้จนมุมกำแพง จองกุกที่ใครๆก็มองว่าเหมือนกระต่าย ใครว่าล่ะ? นี่มันจิ้งจอกชัดๆ

 

“อื้อ”

 

ขบฟันของตัวเองลงบนริมฝีปากหนาของพี่เพื่อเปิดทางให้ได้ชิมความหวานในโพรงปาก ไม่ได้เร้าร้อนเหมือนกับผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาเกินไป เพราะพวกเขาค่อยๆทำมันอย่างช้าๆ ลมหายใจอุ่นๆที่รดอยู่ตรงหน้าทำให้เขินมากขึ้นไปอีก

จองกุกพยายามทำให้ดีที่สุดในจูบแรกของพวกเขา มันจะดูเงอะงะเกินไปไหม หรือจะดูดุดันเกินสมควร เขากังวลในเรื่องนี้พอสมควรตอนที่ผละออกจากนัมจุนแล้ว

 

“จูบแรก/จูบแรก”

 

……..

 

รู้สึกขัดเขินไปหมดทั้งคู่ เมื่อได้ยินสิ่งที่ตัวเองพูดเหมือนเสียงกระท้อนกลับ จองกุกยิ้มให้กับท่าทางที่เขินอายของพี่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน สั่นไหว.. ราวกับเขาได้จูบกันอีกรอบงั้นแหละ ก็พี่นัมจุนตอนนี้น่ารักจนจองกุกคนนี้ อยากจะโตเป็นหนุ่มเร็วๆซะที

 

“พี่พูดก่อนเลย”

“อ่า…..”

“……..”  จองกุกเลิกคิ้วขึ้นมองอีกคนแต่ก็ต้องกลั้นขำเมื่อเห็นหน้าแดงๆตอนที่เงยหน้ามอง

“จูบแรก”

“ก็ไม่ได้แย่เท่าไรนะ”

 

 

 

 

 

 

Talk With Me

อะไรรรรรรรร นี่มันอะไรอีกแล้วไม่ทันได้ตั้งตัวเขียนแบบง่วงๆ

มีอารมณ์(?)ตอนเที่ยงคืนกว่าๆได้เลยรีบเขียนกลัวว่าถ้าเลยวันนี้

ไปจะขี้เกียจอีกยาว 5555555

คือแบบเรื่องนี้ไม้มีหรอกนะริมฝีปากบางอะไร มีแต่นัมจุนของกุ๊กกี้

.///.

ปล.ที่จริงเรารู้สึกว่าแต่งยากมากอ่ะแบบบรรยายฉากจูบไม่เป็นสับปะรดเลย

 

 

My prince {JINYOUNGxJAEBUM}

                          อากาศตอนช่วงเช้ามืดทำให้ผู้ชายตัวขาวงอตัวเข้าหากันเพราะความหนาวถึงจะใส่เสื้อโค้ทตัวใหญ่แต่การออกมานอนข้างนอนแบบนี้เสื้อโค้ทก็ช่วยอะไรไม่ได้ซักเท่าไหร่ ดวงตาเรียวเล็กค่อยๆลืมขึ้น และพบว่าข้างกายของเขาว่างเปล่า ผู้ชายที่สวมกอดเขาจากด้านหลังเมื่อคืนไม่ได้อยู่ในตอนที่เขาตื่นขึ้นมา

ลุกขึ้นยืนเต็มตัวและปัดเศษใบไม้ที่เป็นที่นอนให้เขาเมื่อคืนออก สองเท้าก้าวออกมาจากถ้ำขนาดเล็ก สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณป่าหวังจะพบผู้ชายอีกคน

 

 

 

 

“แจบอม แจบอมอ่า อยู่ไหนลูก”

 

 

 

 

เสียงของผู้หญิงที่เป็นแม่ดังก้องอยู่ในป่าแสงไฟจากไฟฉายรอดผ่านต้นไม้ใหญ่ คนอื่นๆกำลังใกล้เข้ามา แต่สายตาของผมยังคงหาผู้ชายอีกคน เขาอยู่ไหนนะ ใจเริ่มสั่นรัวเมื่อคิดว่าเขาจะโดนทำร้ายความกังวลเพิ่มเป็นเท่าตัว แต่หากเขากลับมายืนอยู่ด้านหลังจ้องมองเพียงผู้ชายที่ตนรัก

 

“ซ่อนตัวเร็วพวกเขากำลังมาที่นี่”

 

 

สองขาของผมกำลังก้าวถอยหลังเมื่อเขาเดินตรงเข้ามา น้ำตาเริ่มทำงานเมื่อสิ่งที่กลัวจะเกิดขึ้นในไม่ช้า กลัวการจากลาโดยไม่มีวันกลับของเราสองคน สีหน้าจากคนตรงหน้าดูเหมือนเจ็บปวดไม่แพ้ผม หัวใจเหมือนกำลังจะฉีกขาดที่แต่และก้าวกำลังถอยหลัง

 

 

“ฉันจะไปหาเขาและให้นายหนีไป เพราะงั้นไม่ต้องตามฉันมา”

“ไป… อึก นายมันงี่เง่าถ้านายถูกจับนายก็จะตายไม่รู้หรอ”

 

 

น้ำตาที่ยังคงไหลลงมาทำให้การพูดลำบากมากขึ้น ทั้งๆที่ไม่อยากให้เขาไปไหน ทั้งที่ในใจจะต้องการอยู่กับเขาแต่มันกลับไม่สามารถทำได้ ไม่มีทางไหนเลยที่จะหยุดเรื่องราวทั้งหมดได้โดยไม่ต้องเจ็บปวด “ฉัน… ฮือ ไม่สามารถอยู่กับนายได้ตอนนี้ อึก” กล้ำกลืนน้ำตาให้สามารถพูดได้โดยไม่ต้องสะอึกสะอื้น แต่กลับยากยิ่งนักเมื่อคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น เขายังคงเดินเข้ามาหากแต่ผมเดินถอยมาจนสุดทาง ผมหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมน้ำตาที่ไหลหนักกว่าเดิม “ไปหนีไป อึก.. ฉันเกลียดนายหนีไปซะ!” เจ็บปวดยิ่งขึ้นเมื่อมองเข้าไปในดวงตาของคนตัวสูงกว่าเล็กน้อย เขายังคงนิ่งและไม่หนีไปไหน

เขาเอื้อมมือหนาพยายามจะลูบหัวผม แต่ผมกลับปัดมือเขาออกไป “ไป ไปซะนายมันงี่เง่า อึก..” พูดพร้อมทั้งทุบไหล่กว้างของเขา มือที่ไม่สามัคคีกับร่างกายของผมฟาดลงไปบนหน้าขาวของอีกคน “ อึก.. ฉันขอโทษ อึก จินยอง”

 

 

ในขนาดที่กำลังเอื้อมมือไปลูบหน้าเขา เขากลับมองมาอย่างงุนงง “ฉันเสียใจจริงๆจินยอง อึก… มันเป็นเพราะนาย” จินยองพยายามจะเข้ามากอด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือผมต้องจากเขาไป ผมยังคงร้องไห้ออกมาราวกับว่าเป็นบ้า ขาที่อ้อนแรงขยับออกมาจากตัวเขาอีกครั้ง

“ฉันจะไป ดังนั่นอย่าเข้ามา! อึก..” เป็นครั้งแรกที่ผมตะคอกใส่เขาและนั้นทำให้เขาหยุดเดินเขามาหาแววตาที่เจ็บกำลังมีน้ำตาเอ่อคลออยู่ ร่างกายแข็งทื่อราวกับหินกำลังเอ่ยคำแรกออกมา

 

 

 

 

“อย่าไป….”

เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเป็นครั้งแรก

 

 

 

เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเขาพูดแต่มันยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักขึ้น ยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเพื่อไม่ให้เสียงของการร้องไห้ดังขึ้น เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นดวงตาของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาและผมคงคิดว่ามันคงจะเป็นครั้งสุดท้าย ผมไม่ได้อยากไปไหนเลยอยากกอดเขาไว้ด้วยสองมือของผมเอง อยากจะสัมผัสไออุ่นจากอีกคนในเวลากลางคืนที่หนาวเหน็บและยาวนาน

 

 

 

 

 

 

All day, I wait for the moon to rise in the sky

ทุกวันฉันรอให้พระจันทร์ส่องสว่างบนฟ้า

 

 

 

 

 

 

ในทุกๆคืนผมมักจะเฝ้ามองดวงจันทร์ที่เปล่งประกายเด่นสง่าอยู่บนท้องฟ้าที่ถูกล้อมรอบไปด้วยหมู่ดาวนับพันดวงผ่านกระจกใส ภายในใจยังหวนคิดถึงแต่เรื่องเก่าๆที่ไม่มีทางย้อนกลับ เฝ้ารอให้วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆมันทรมานยิ่งกว่าอะไรซะอีกไม่มีอะไรที่จะทำได้นอกจากแค่รอให้ปาฏิหาริย์พาเรากลับมาพบกันอีกครั้ง

 

ผมคงดูน่าสมเพชมากใช่ไหม?

 

กระจกเงาสะท้อนภาพผู้ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าเหี่ยวย่นตามอายุพร้อมผมสีขาวที่แซมขึ้นมาจากผมสีดำเข้มผมจ้องมองตัวเองอยู่นานพรางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

“น่าเกลียดอะไรแบบนี้นะ”

ผมได้แต่นึกขำตัวเองอยู่ในใจ ในขณะที่ผมแก่ลงทุกๆปีแต่ผมกลับต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมาน การสูญเสียไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ

“ที่รักคะมีโทรศัพท์ถึงคุณน่ะ”

เสียงผู้หญิงวัยกลางคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาตะโกนมาจากห้องรับแขกชั้นหนึ่งของบ้าน ทันทีที่ได้ยินเสียงก็รีบตอบรับอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวผมจะลงไปรับนะ”

 

 

 

จากห้องนอนชั้นสองลงมาถึงห้องโถงใช่เวลาไปไม่กี่นาที บรรยากาศโดยรอบยังคงดำเนินเหมือนเดิมอยู่ทุกวัน เดินมาอย่างไม่รีบร้อนนักจนถึงมาหยุดอยู่หน้าโทรศัพท์ที่ภรรยากำลังคุยเพื่อเป็นการยืดเวลาให้ก่อนที่เธอจะส่งโทรศัพท์ให้ ผมรับมันขึ้นมาแนบข้างหู

“อึนจูหรอนี่ปู่เองนะ” แต่ผิดคาดที่เสียงจากปลายสายเป็นเสียงผู้ชายแทนที่จะเป็นเสียงของหลานสาวคนเก่ง

“(คุณคือคุณแจบอมใช่ไหมครับ)”

“ใช่ครับผมเอง”

หลังจากเสียงสิ้นตอบของผมไปปลายสายไม่รอให้เสียเวลาเปล่าเขารีบร้อนอธิบายบางอย่างกับผม คำพูดของเขาทำให้ผมรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งตัวปากที่ขยับตอบที่ละนิดแทบจะยกขึ้นไม่ไหว

“ได้ครับผมเข้าใจแล้ว” กดวางสายไปได้สักพักถึงจะรวบร่วมสติและพาตัวเองไปนั่งที่โซฟาใกล้ๆ

“ใครโทรมาหรอคะพ่อ?”

“มีเรื่องอะไรรึเปล่าค่ะคุณ?”

คำถามของภรรยาและลูกสาวดังขึ้นหลังจากเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนของผม ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองทั้งสองคนก่อนจะตอบคำถามออกไป

“พ่อคิดว่า.. พ่อต้องกลับไปเกาหลี”

 

 

 

 

บรรยากาศที่น่าอึดอัดเพราะมีเสียงดังทั่วสนามบิน ดวงตาเรียวเล็กกำลังจับจ้องไปที่เด็กผู้หญิงที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาเรื่อยๆ รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของทั้งสองราวกับว่านัดกันไว้

 

“คิดถึงคุณปู่มากเลยค่ะ” น้ำเสียงของเด็กสาวดูสดใสกว่าครั้งไหนๆ ไม่ปล่อยให้เวลาเดินเนิ่นนานชายวัยกลางคนสวมกอดหลานสาวคนเก่งอย่างแนบแน่ ด้วยความคิดถึงแล้วจึงทำให้กอดครั้งนี้ดูอบอุ่นมากกว่าที่เคยเป็น

 

ช่วงเวลาที่ผ่านไปเนิ่นนานทำให้เขาเกือบลืมสถานที่ซึ่งเคยอาศัยอยู่ก่อน หิมะสีขาวโพลนโปรยปรายทั่วบริเวณโดยรอบเหมือนที่หิมะกำลังเกาะกุมหัวใจเขาเอาไว้ที่เวลาเดิม สองเท้าก้าวลงมาจากรถสีเทาคันเล็กโดยมีหลานสาวเป็นผู้ขับ จ้องมองเข้าไปยังบ้านไม้สีซีดสภาพมันถูกทิ้งเอาไว้เมื่อไม่มีผู้มาอาศัยต่อ

 

“คุณปู่คะ ที่นี้หรอคะที่คุณปู่เคยอาศัยอยู่” หลานสาวที่กำลังสำรวจบริเวณรอบบ้านเอ่ยปากถามขึ้น

“อืม สำหรับช่วงเวลาหนึ่ง”

 

เด็กสาวเดินสำรวจรอบบ้านจนพอใจแล้วจึงมาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายของชายวัยกลางคน เธอเอ่ยคำที่น่าขำขันขึ้นขณะจ้องมองคนเป็นปู่ “ที่นี้น่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ดูเหมือนว่าสัตว์ประหลาดจะปรากฏตัวออกมา”

 

สำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าตลกสิ้นดี “สัตว์ประหลาดหรอ ดูเธอพูดเข้าสิ”  หัวเราะออกมาเล็กน้อยกับคำพูดที่ได้ยินและเริ่มพูดต่อ

“สภาพมันยังเหมือนตอนนั้น มันทำให้รู้สึกเหมือนว่าจะมีสัตว์ประหลาดออกมา”

“มันผ่านไปนานแค่ไหนแล้วคะ?”

“ตอนที่ปู่ยังหนุ่ม ในเวลานั้น…”

 

 

 

 

เราหยุดคุยกันสักพักถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมา จนกระทั่งมีผู้ชายที่ดูเหมือนอายุอ่อนกว่าผมเดินเข้ามาในบ้าน สังเกตจากการแต่งตัวดูภูมิฐานคงเดาไม่อยากว่าเขาเป็นคนจากทางกรมที่ดินคนเดียวกันกับที่รับสาย เสียงทุ้มต่ำของเขาอธิบายเกี่ยวกับบ้านเก่าที่เคยอาศัยอยู่ก่อน

“บริษัทดงล้มละลายบ้านก็ตกเป็นของคุณอ๊อกฮีและเมื่อเธอเสียชีวิตเธอก็ได้ทำพินัยกรรมมอบบ้านหลังนี้ให้คุณ มันยุ่งยากเกี่ยวกับการเรียกเงินในบริเวณนี้ผมแนะนำให้ขายจะดีกว่ามันคงจะขายในราคาดีแน่ครับ”

เสียงของผู้ชายด้านหลังดูเบาบางลงเพียงเพราะผมไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขากำลังอธิบายอยู่ หากแต่ผมสนใจโรงนาเก่าๆที่อยู่หน้าบ้าน รอยยิ้มบางๆของผมผุดมาได้ไม่ยากเมื่อนึกถึงอดีตที่ไม่เคยลืม

 

 

ผมหันหลังมาเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านหลัง “เรานอนค้างที่นี่ได้สักคืนไหม?” ผมถาม

 

 

 

 

 

 

Because when night comes, I can talk to you

เพราะว่าเมื่อกลางคืนมาถึงฉันสามารถคุยกับคุณได้

 

 

 

 

 

อะไรกันที่ทำให้ผู้ชายตัวขาวมาหยุดอยู่ที่บรรยากาศเก่าๆ ท้องฟ้ายามค่ำคืนยังคงส่องสว่างได้ด้วยดาวนับพันเช่นเดียวกันกับเมื่อก่อน ลมเย็นเบาๆพัดผ่านร่างกายขาวไปเขากระชับเสื้อโค้ทเข้าหากันเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ตัวเอง เป็นแบบนั่นแล้วเขายังคงไม่เดินเข้าบ้านเพื่อปรับอุณหภูมิของร่างกาย แต่สองเท้ากลับเดินตรงมายังโรงนาเก่าๆที่ตั้งอยู่หน้าบ้าน

ผมสูดอากาศหายใจเข้าไปเต็มปอดก่อนจะผลักประตูไม้เก่าๆออกด้วยความลังเล มองตรงเข้าไปข้างในสภาพมันดูดีกว่าที่คิดจากโรงนาเก่าๆที่มีแต่กลิ่นเหม็นและของสกปรกแต่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยต้นไม้พันธุ์เล็กในกระถาก ผมก้าวเท้าเข้ามาข้างในด้วยหัวใจที่เต็มไม่เป็นปกติเพียงแค่คิดว่าจะมีคนอาศัยอยู่ ผมยืนมองประตูที่อยู่ชั้นในของโรงนามีแสงไฟสีส้มรอดผ่านจากช่องประตู

 

 

 

ยืนมองบานประตูที่ปิดสนิทบานนั้นอยู่ชั่วครู่ความรู้สึกที่เอ่อล้นกลับกลั้นออกมาเป็นน้ำตาผมกัดริมฝีปากแน่นสัญญากับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะไม่ร้องไห้ แต่มันกลับยากกว่าที่คิดไม่มีครั้งไหนที่ความพยายามของผมจะสำเร็จมือข้างขวากำชายผ้าด้านล่างไว้แน่น แต่มืออีกข้างกำลังเอื้อมเปิดประตูที่อยู่ตรงหน้า ในใจหนึ่งหวังไว้ว่าจะพบคนที่อยากเจอมากที่สุดตอนประตูบานนั่นเปิดออก แต่หากถ้าไม่พบแล้วคงจะไม่ผิดหวังอะไรมากเพราะแจบอมคิดว่าโชคชะตาไม่ได้เข้าข้างเขาขนาดนั้นใจที่กำลังเต้นไม่เป็นจังหวะกลับแรงขึ้นกว่าเดิมเมื่อภาพตรงหน้าปรากฏให้เห็นผู้ชายที่เขารอคอยนั่งอยู่บนเตียงนอนขนาดเล็ก ดวงตา จมูก ปาก มือ หรือเส้นผมยังคงเหมือนเดิมไม่ต่างจากตอนแรกที่เราเจอกัน ความรู้สึกโหยหามันยากเกินกว่าจะควบคุมได้ น้ำตากลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง คนตรงหน้ายิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยกลับการเจอกันครั้งนี้สำคัญกว่าครั้งไหนๆ

 

 

เขายืนเศษกระดาษที่ถูกพับไว้มาให้ผม เศษกระดาษสีน้ำตาลอ่อนถูกแกะออกมาโดยผม ปรากฏให้เห็นถึงตัวอักษรที่ได้ใจความ ‘รอนะ แล้วฉันจะกลับมา’

 

 

“นี่นายรอฉันอยู่รอ” เขาพยักหน้าเป็นการตอบคำถาม ความรู้สึกที่ไม่สามารถเก็บไว้ถูกเปิดออกมา “เลิกรอได้แล้วนะ” ร่างสูงลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งโอบกอดผมเอาไว้ ผมซุกหน้าลงบนไหล่กว้างที่คิดถึง กระชับกอดให้แน่นขึ้นกว่าเดิม

 

 

 

“ทำไม อึก ทำไม่นายต้องรอฉันด้วย ฉันขอโทษ” เมื่อไม่รู้ว่ามีสิ่งไหนจะมาทดแทนความรู้สึกได้ผมกลับปล่อยให้น้ำตากลืนกินคำพูดของผมซะหมด  “ฉันกลายเป็นคนแก่แล้วตอนนี้ ผมของฉัน.. กลายเป็นสีขาว”

 

 

 

อีกครั้งที่ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น “ไม่หรอกครับทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ดวงตา จมูก ปาก มือ คุณยังดูดี ผมคิดถึงคุณ”

 

 

 

ความรู้สึกที่รอมาเนิ่นนานจะหยุดไว้ตรงนี้ ตรงที่เราอยู่ด้วยกัน

Thank you my prince that I’ve dreamed of for appearing before me

ขอบคุณเจ้าชายในฝันของฉันที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าฉัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Talk With Me.

หวีดแรงมากตอนดูเรื่อง wolf boy แบบหลงจุงกิ หลงโบยอง

หลงพล็อตเรื่องแบบหลงจริงๆนะ คือไม่ต้องดูมีบทพูดมากแต่

แบบนักแสดงสื่ออารมณ์ดี เราก็เลยเอาพล็อตเรื่องของเขามา

แต่งสักหน่อย คือเราชอบจริงๆนะไม่ได้มีเจตนาจะก็อปงานของ

เขาแต่อย่างใด เราแค่อยากรู้ว่าถ้าเราแต่งมาในคู่แบบชายชาย

อารมณ์จะคล้ายกับในหนังไหม หรือจะได้อารมณ์ที่แตกต่างออก

ไปเท่านั้นเอง

Enjoy reading.

 

 

Drug overdose {JINYOUNGxJAEBUM}

 

 

สัมผัสอุ่นจากฝ่ามือลูบไล้ไปทั่วกายขาว อุณหภูมิในร่างกายเริ่มร้อนขึ้นทุกขณะ จมูกโด่งสันกำลังฝังมันลงมาที่ซอกคอขาวความรู้สึกที่เหมือนกับถูกเวทมนต์กำลังดึงผมให้ลงสู่ห้วงของความต้องการ ในความมืดเห็นเพียงแค่เงาเลือนรางที่ทาบทับแสงไฟสลัว ร่างกายที่ถูกตึงไว้กับเตียงนอนทำให้ไม่สามารถจะขยับได้ตามใจต้องการเท่าไหร่นัก

 

 

Bring your love baby I could bring my shame
Bring the drugs baby I could bring my pain

 

 

เจ้าของร่างที่คร่อมผมไว้ก่อนหน้านั่นทำการปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนเองลงไปกองกับพื้นข้างเตียง เขาละสายตาจากกองเสื้อผ้าและหันมาจับจ้องที่ผม เขาโน้มตัวลงมามันห่างเพียงแค่ไม่กี่เซนลมหายใจร้อนผ่าวพาดผ่านใกล้ใบหน้า ลิ้นร้อนที่ตอนนี้ลากผ่านใบหูลงมายังลำคอและตามมาที่หัวไหล่ ปลายลิ้นลากไล้จนผมต้องโอนอ่อนตาม ทุกจุดที่โดนสัมผัสอุณหภูมิในกายก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนมันจะกำลังปะทุมากขึ้นราวกับภูเขาไฟที่จะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ

 

 

 

มือกร้านที่สัมผัสสะเปะสะปะไปทั่วค่อยๆเลื่อนมือมาปลดกระดุมเสื้อออกอย่างช้าๆ เสียงหายใจสั่นเครือยังคงดังระงมอยู่ภายในห้อง ไม่นานนักลมใจหายก็ถูกช่วงชิงไปจากคนตรงหน้ากลิ่นแอลกอฮอล์ตลบอบอวลอยู่ในปาก ลิ้นร้อนชื้นกำลังรุกล้ำเข้าไปในโพรงปากกวาดเอาความหวานอย่างชำนาญก่อนที่เขาจะผละออก

 

 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางเสียงหายใจกระเส่าของเราทั้งสองคน มือหนาของอีกคนเอื้อมมือไปกดปิดโทรศัพท์อย่างจงใจ ในเวลานี้ก็ไม่อยากให้ใครมารบกวนความสุขทั้งนั่น

 

 

“อย่าลืมเรียกชื่อฉันด้วยล่ะ” เขาลงมากระซิบเบาๆที่ข้างหู

 

 

“บอกชื่อของนายมาสิ” ผมถามออกไปด้วยเสียงกระเส่

 

 

 

 

คนตรงหน้าหยุดการกระทำทั้งหมดไว้ เขาเลื่อนหน้ามาเผชิญกับผมอย่างจัง เห็นเพียงแค่โครงหน้าของอีกคนเป็นเพราะแสงไฟในห้องมันน้อยเกินไป “จินยอง ฉันชื่อจินยอง

 

 

 

 

แสงไฟกำลังมืดลง ดวงตาพร่ามัวเริ่มมองเห็นสิ่งของไม่ชัด ในสมองขาวโพลนไปกับความลุ่มหลง ความต้องการที่เขามอบมาให้ทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธเขาได้เลย ไม่สามารถปฏิเสธสัมผัสจากคนตรงหน้า รสจูบ หรือการกระทำใดๆผมไม่อาจสามารถต่อต้านเขาได้ผมยอมให้ร่างกายของตัวเองเป็นไปตามที่ใจต้องการ ไม่ต้องคิดถึงสิ่งไหนอีกแล้วในเวลานี้ผมกำลังเสพสุขที่คนตรงหน้ามอบให้อย่างปฏิเสธไม่ลง ต่อให้สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันเป็นไฟที่จะเผาไหม้ผมก็ไม่อาจจะหยุดความต้องการของตัวเองได้อีกแล้ว

 

 

 

ผู้ชายในเสื้อยืดสีเทาธรรมดา คนนึงเดินมุ่งหน้ามายังร้านสะดวกซื้อใต้คอนโดใจกลางเมืองใหญ่ รูปร่างที่น่าหลงใหลชวนให้จินยองมองตามไม่ละสายตา คล้อยหลังไม่กี่วินาทีที่เห็นผู้ชายคนนั่นเดินเข้าไปร้านสะดวกซื้อ เท้าเจ้ากรรมก็ออกตัวเดินตามเข้าไป มองรอบๆภายในร้านสะดวกซื้อไม่นานก็พบเจ้าของร่างที่ชวนจับตามองกำลังเลือกขนมจุกจิกใส่ตะกร้าอย่างสบายอารมณ์

เดินมาหยุดอยู่ข้างๆก็ทำให้กลิ่นหอมนุ่มๆลอยมาแตะจมูก ชำเลืองมองคนด้านข้างเพื่อจะได้เห็นใบหน้าที่ชัดเจนขึ้นยิ่งขึ้น กลุ่มผมนุ่มของอีกคนตกลงมาปกใบหน้าตอนที่เขากำลังก้มหยิบของที่ชั้นล่าง ใบหน้าที่ดูไม่หวานแต่กลับทำให้จินยองละสายตาไม่ได้ ยิ่งมองรูปร่างแล้วมันชวนให้จินยองต้องการเขามากขึ้น

 

 

“ขอโทษนะครับ”

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น

 

จินยองสะบัดหัวไล่ความคิดที่มีอยู่ก่อนหันมาสนใจคนที่เอ่ยปากขึ้นเมื่อสักครู่ รอยยิ้มเล็กๆถูกแต้มขึ้นให้เห็น ตอนนี้ตาของเราทั้งสองคนกำลังประสานกัน อีกครั้งที่จินยองเหมือนถูกร่ายเวทมนต์ใส่เขาไม่สามารถละสายตาเมื่อเห็นใบหน้าของอีกคน

 

 

“ขอโทษครับได้ยินไหมครับ?”

อีกคนเอ่ยปากซ้ำเมื่อเห็นว่าจินยองไร้ปฏิกิริยาตอบโต้

“ครับ? ว่าไงนะครับ”

“ผมต้องการจะหยิบของ คุณช่วยถอยไปหน่อยได้ไหมครับ?”

“อ่าได้สิครับ”

 

 

 

ผมโค้งเป็นการขอโทษให้กับอีกคนและถอยห่างออกมาจากชั้นเพื่อให้เขาหยิบของที่ต้องการได้ ผมยังคงยืนอยู่ที่ชั้นใกล้ๆเขา ทำทีเป็นเลือกขนมทั้งๆที่ผมไม่ได้ชอบมันเลยสักนิด เพียงแค่ต้องการจะมองเขาใกล้ๆเท่านั้นเอง

ผมอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นอีกคนก้มเก็บห่อขนมที่ทำตกด้วยความเงอะงะ ตะกร้าของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยขนมมากมายแต่ถึงอย่างนั้นเขายังคงหยิบขนมมาใส่เพิ่มอีก ไม่รู้ว่าเขาชอบกินขนมหรือว่าซื้อไปให้กันแน่ แต่การที่เขายังเลือกขนมทั้งที่มันเต็มตะกร้าแล้ว ผมคงเดาไม่ยากว่าเขาอยากจะอ่อยผมแน่ๆแต่กลับผิดคาดเมื่อผมเห็นผู้ชายร่างสูงอีกคนเดินมาหาเป้าหมายของผมด้วยท่าทีที่สนิทสนม เขาว่ามือลงบนไหล่ และทำหน้าตาบูดบึ้ง

 

 

 

“แจบอมมานานแล้วนะ รออยู่บนห้องตั้งนาน”

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกพี่น่ะยูคยอม”

 

 

 

ผมมองบทสนทนาของทั้งสองคนที่ดูสนิทสนม คาดได้ว่าผู้ชายที่ชื่อยูคยอมคงเป็นแฟนของเป้าหมายผมหรือที่ยูคยอมเรียกว่าแจบอม ผมยังคงมองเหตุการณ์ทั้งหมดจนกระทั่งสองคนนั้นเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์และกลับเข้าคอนโดไป

เรือนร่างที่แม้ใส่เสื้อยืดกับกางเกงขางสั้นธรรมดาก็ดูน่าหลงใหลขนาดนี้  ใบหน้าคมคายกับตาชั้นเดียวมันช่างมีเสน่ห์ ริมฝีปากชมพูระเรื่อบวกกับมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นแจบอมกำลังทำให้จินยองเสพติดเพียงแค่ได้มอง

 

 

Take you down another level and get you dancing with the devil

 

 

เสียงเพลงยังดังแม้ว่าจะเป็นเวลาตีหนึ่งแล้วก็ตามผู้คนยังคงหลงใหลไหลในแสงไฟในไนต์คลับ ผมเองก็เช่นกันผมยังคงนั่งดื่มวอสก้าในมุมที่ไม่มีผู้คนกับเพื่อนร่วมดื่มขาประจำ

 

 

 

“ไม่เคยเห็นมึงเป็นแบบนี้จินยอง”

 

 

 

เป็นแจ็คสันที่ทำลายความเงียบของเราสองคน ผมหันไปมองหน้าเพื่อนตัวดี เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

 

 

 

“ก็ที่มึงเป็นอยู่เนี่ย นั่งดื่มวอสก้าอย่างกับโคล่าถุงละสิบสองบาท”

 

 

 

 

ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาใส่ใจกับผู้คนที่โชว์ทักษะการเต้นอยู่บนฟลอร์  กับคำถามที่แจ็คสันถามคงตอบไม่ยากแต่หากผมไม่อยากตอบออกไปเท่านั้น ยังคงคิดถึงแต่เรื่องของแจบอม ไม่เคยมีใครที่ทำให้ผมว้าวุ่นได้มากขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยมีใครทำให้ผมต้องการสัมผัสเรือนร่างได้เท่านี้ ไม่มีเลยจริงๆ

ขณะที่คิดถึงแต่แจบอม ก็เห็นร่างในความฝันปรากฏกายอยู่ไม่ไกลเหมือนกับถูกจัดวางมาเป็นอย่างดี ในใจที่เต้นแรงกว่าเดิมด้วยความดีใจทำให้ขาก้าวออกไปอย่างเร่งรีบ

 

 

 

 

 

 

“มึงจะไปไหนจินยอง”

เขาถามขึ้นเมื่อเห็นผมเดินออกมาอย่างรีบร้อน

“ไปหาอะไรดื่มที่เคาน์เตอร์บาร์หน่อย”

ผมตอบทั้งที่ในมือยังมีวอสก้าอยู่เต็มแก้ว

 

 

 

 

 

ร่างขาวในชุดแบบที่ผมไม่เคยเห็นนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์เพียงลำพัง ถือโอกาสที่อีกคนกำลังสั่งเครื่องดื่มเดินไปนั่งข้างๆ  เอื้อมมือมาเกาหัวด้วยความเกร็งเมื่อเห็นแจบอมทำท่าไม่ใส่ใจผม จะเริ่มคุยด้วยเลยดีไหม หรือ ผมควรจะนั่งมองเขาเงียบๆ ไม่รู้ว่าตัวเองจะกังวลเพียงแค่นั่งข้างๆอีกคน ความประหม่ายิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อแจบอมหันมามอง ดวงตาเรียวเล็กสนใจเพียงแก้วเครื่องดื่มตรงหน้าของตน

ยิ่งมองเขาแล้วผมก็อดห้ามใจตัวเองไม่ได้เลย มือของผมมันอยากจะสัมผัสผู้ชายด้านข้างไปทั่วร่างกาย

 

 

“มาคนเดียวหรอครับขอนั่งด้วยนะ”

 

 

เสียงทุ้มของผู้ชายถัดจากแจบอมดังขึ้นระหว่างที่ผมกำลังเชยชมร่างกายของอีกคนอยู่ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มคิ้วหนาเดินมาขอที่นั่งข้างแจบอมอย่างจงใจ แต่ดูเหมือนแจบอมยังคงนั่งนิ่งไม่ตอบโต้อะไร จนมือของอีกคนเลื่อนมาสัมผัสเอวแจบอมค่อยๆลูบไล้ช้าๆใบหน้าหล่อเหลาเลื่อนมาชิดกับแจบอม

จนถึงตอนนี้แจบอมเองคงไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่เขาผลักอีกคนออกไปให้ห่างจากตัวแล้วคว้าแขนผมไปคล้องไว้

 

 

 

“ผมมากับผู้ชายคนนี้”

แจบอมเอ่ยขึ้น

ผมหันหน้าไปมองเขาถึงจะเข้าใจสถานการณ์ว่าเขาต้องการให้ผมช่วย “ใช่เรามาด้วยกัน”

“แต่…”

“ ผมขอตัวนะ”

 

 

 

แจบอมไม่ลืมที่จะดึงผมออกมาจากที่นั่ง เราสองคนเดินผ่านผู้คนจำนวนมากในไนท์คลับจนมาหยุดที่ลานจอดรถ เขายังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาซักคำ ใบหน้าที่นิ่งตอนนี้กลับมีปฏิกิริยา น้ำตาของเขาไหลโดยไม่มีสาเหตุ

ผมทำได้แค่มองดู จะให้ไปถามเรื่องของเขาก็จะดูยุ่งเกินไป เลยได้แต่ยื่นผ้าเช็ดหน้าสีดำที่พกติดตัวตลอดให้เขาซับน้ำตา ใบหน้าคมก้มล้มเล็กน้อยเพื่อเป็นการปกปิดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เขาพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกมา นั่นเลยทำให้เขากำมือแน่นและกัดริมฝีปากของตัวเองไว้

ผมไม่รู้ว่าเขาไปเจออะไรมา จะไปให้คำปรึกษาหรือคำพูดดีๆคงจะดูแปลกๆอยู่

 

 

“มันแปลกไหมถ้าจะบอกว่าช่วยขับรถไหนก็ได้น่ะ”

เขาถาม

 

 

มันคงแปลกที่ผมขับรถกลับมาที่คอนโดตัวเอง แล้วพาร่างที่เหนื่อยอ่อนมาพักอยู่บนเตียงนอนคิงไซส์สีขาว ผมนั่งลงเบาๆที่ข้างเตียงมองใบหน้าของอีกคน คุณเชื่อไหมว่าเพียงครั้งแรกที่พบเขามันก็ทำให้หัวใจของผมอยู่ไม่สุข ผมบอกได้เลยว่าต้องการเขาแค่ไหนในวินาทีแรกที่เห็น ผมอยากจะจ่ายงวงเงินในบัตรเครดิตให้เขาเพื่อให้ได้สัมผัสร่างกาย

มาถึงตอนนี้ผมคงคิดอะไรไม่ออกแล้ว เหมือนมีเนื้อสดมาวางล่อสิงโตผู้หิวโหย เนื้อที่เจ้าป่าต้องการจะจัดการไม่ให้เหลือถึงสัตว์ตัวอื่นๆ มือที่อยู่ไม่นิ่งของผมเริ่มสัมผัสไปที่ร่างกายขาว กลิ่นหอมอ่อนๆยังคงมีอยู่แม้ว่ากลิ่นแอลกอฮอล์จะเด่นชัด

ร่างที่นอนอยู่ขยับเมื่อถูกสัมผัส ดวงตาของเราประสานกันเมื่อแจบอมลืมตาขึ้นมา มือบางของอีกฝ่ายคล้องคอผมเอาไว้ ใบหน้าเลื่อนเข้ามาจนรู้สึกถึงความร้อนของลมหายใจ ต้นคอขาวกำลังยั่วให้ผมไปสัมผัสผมฝังจมูกลงบนต้นคอขาวอย่างบรรจงค่อยๆใช้ริมฝีปากสัมผัส ผมกำลังใช้ยาเกินขนาด และไม่สามารถหยุดใช้ยานี่ได้ ผมต้องการต้องการที่จะเสพมันเข้าไปเรื่อยๆถึงจะรู้ว่ามันจะทำให้ผมขาดไม่ได้ก็เถอะผมหยุดไม่ได้แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Talk With Me.

เรื่องมาแบบงงๆพล็อตแบบงงๆดำเนินเรื่องแบบงงๆ

เราอ่านก็งง 555555 อย่าด่าเราเลย ชั่ววูบจริงๆ

 

I LOVE U{MARKxJAEBUM}

large (1)(มีความชิปแรงกับรูป)

ผมก็แค่ผู้ชายตาตี่ที่เกือบจะไม่มีตา ใช้ชีวิตเรียบง่ายมาโดยตลอดและไม่เคยคิดจะทำอะไรให้ดูยุ่งยากเพราะผมเป็นคนค่อนข้างขี้เกียจจะทำความเข้าใจในหลายๆเรื่อง จนกระทั่งชีวิตของผมมีเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ชื่อ ‘ต้วน อี้เอิน’ เข้ามาทำลายความเรียบง่ายในชีวิตของผม..

 

 

ต้วน อี้เอิน หรือ มาร์ค เป็นผู้ชายที่กวนบาทาที่สุดในชีวิตของผมก็ว่าได้ ชอบเข้ามาทำให้รำคาญ ชอบมาทำให้อารมณ์เสีย ไม่เคยเข้าใจในการกระทำของมาร์คว่าเขาต้องการอะไร จะสื่ออะไรออกมาจากการกระทำที่ชวนให้หวั่นไหว ยิ่งไม่อยากอยู่ใกล้แต่เหมือนเจ้าตัวจะพยายามเข้าใกล้ผมตลอดเวลา มันลำบากเวลาที่ผมอยากจะด่ามาร์คแต่เขาเข้าใจภาษาเกาหลีเป็นอย่างดี

 

 

 

 

“ตรงอื่นมีที่เยอะแยะทำไมไม่ไปนั่ง?”

ผมที่นั่งอ่านหนังสือ เงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนใหม่

 

 

 

“ตรงนี้ก็ว่าง ไม่ได้จองให้ใครไม่ใช่หรอ?”

 

 

 

จะว่างไม่ว่างก็ไม่อยากนั่งด้วยครับมาร์ค ผมได้แต่คิดในใจและถอนหายใจออกไป หยิบหูฟังเสียบกับสมาร์ทโฟนเพื่อที่จะตัดขาดจากโลกที่มีมาร์คนั่งทำหน้ากระรอกอยู่ด้านข้าง สายตาของเขากวาดมองไปรอบห้องสมุดที่มีแค่เราสองคน มันกวนใจซะจริงที่ต้องอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ ถ้าผมเอาหัวเขาทุบกับโต๊ะจนตายคาทีโดยไม่ผิดกฎหมายผมจะทำเดียวนี้เลย

คนที่นั่งอยู่ด้านข้างกำลังพูดบางอย่างแต่เพราะผมฟังเพลงจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้างจึงเห็นแค่ปากของเขาขยับไปมา

 

 

 

 

“อะไรนะไม่ได้ยินเลย” กวนประสาทเขานิดหน่อยก็ทำให้ผมมีความสุขขึ้นมาแล้ว

 

 

 

ดูเหมือนว่าเขาจะอารมณ์เสียเล็กน้อยใบหน้าเขาบ่งบอกได้อย่างดีเลยผมละสายตาจากมาร์คกลับมาที่หนังสือเหมือนเดิม

จนเขาขยับเข้ามาใกล้พื้นที่ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้กลับเหลือระยะห่างเพียงแค่หัวไหล่ของเราชนกัน มันน่าอึดอัดกว่าตอนแรกแต่มันก็เป็นแบบนี้อยู่ตลอดถึงผมจะไม่อยากให้เขาเข้ามาใกล้แต่ผมก็ไม่เคยไล่เขาเลยสักครั้งไม่รู้เพราะการที่ได้เห็นเวลาเขาทำหน้าตาไม่พอใจแล้วมันสนุกหรือเพราะชอบมาร์คกันแน่

 

 

เสียงเพลงที่เคยได้ยินทั้งสองข้างตอนนี้กลับเหลือเพียงข้างเดียว หันไปมองด้านข้างก็พอจะรู้ได้เลยว่ามาร์คถือวิสาสะดึงหูฟังอีกข้างของผมไปใส่

 

 

 

 

“ไม่มีมารยาทหรอ ต้วน อี้เอิน?”

ผมหันไปดุผู้ชายหน้ากระรอกด้านข้าง

 

“กับ อิม แจบอม ต้องใช้ด้วยหรอ?”

 

 

มาร์คหัวเราะคิกคักเมื่อกวนใจผมได้สำเร็จ เป็นแบบนี้มาตลอดจนผมเริ่มจะชิน ทุกๆครั้งที่โดนกวนประสาทผมก็เถียงกลับไปไม่เคยสำเร็จ ได้แต่นั่งเงียบขนาดที่มาร์คเอนหัวของเขามาพิงบนไหล่ผม ผมแอบมองผู้ชายด้านข้างแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย จะว่าไปผมก็ไม่ได้เกลียดเขาหรอกนะแต่แค่ไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกไปแบบไหน

 

 

“มีความสุขมากไหมแอบมองคนอื่นน่ะ?”

“แล้วนายเป็นคนอื่นหรอ?”

“งั้นแสดงว่าฉันเป็นคนสำคัญสำหรับนายสินะ”

 

 

 

คำถามเพียงประโยคเดียวก็ทำเอาผมไปไม่เป็น จะตอบว่าไม่ก็คงจะทำให้เขารู้สึกแย่แต่จะให้ตอบใช้มันก็ขัดต่อความรู้สึกที่แสดงออกกับเขา เห็นแบบนั้นจึงนั่งเงียบโดยไม่ปริปากพูด มาร์คยังคงพิงไหล่ผมอยู่อย่างเดิม ไม่ต้องอธิบายอะไรมากนะหรอกกับสถานการณ์อย่างนี้แค่ใช้ความรู้สึกที่มันมีอยู่อธิบายคงไม่ยาก

 

 

เอาเข้าจริงเป็นผมเองที่กำลังเริ่มหวั่นไหวในการเข้าหาของมาร์ค ทั้งสายตาที่เวลาเขามองมามันก็ทำให้ใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะได้เหมือนกัน จากตอนแรกที่ไม่ชอบการเข้าหาของมาร์คและมันเริ่มชิน จากที่ชินกลายเป็นความรู้สึกที่ขาดไม่ได้ แต่บางครั้งที่แสดงอาการรำคาญเพียงเพราะมันเขินจนทำตัวไม่ถูก ไม่เคยที่จะต้องแสดงอาการแบบนั้นให้ใครเห็นมันเลยเป็นการกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง

 

 

 

 

“แอบมาจู๋จี๋ในห้องสมุดกันสองคนหรอ?”

เป็นเสียงของ ชเว ยองแจที่ดังขึ้น รุ่นน้องที่มักจะเห็นสถานการณ์ของผมกับมาร์คตลอด

“เหมือนพี่จะมาจีบเขามากกว่านะ”

“ทำไมเป็นงั้นครับ? ผมก็เห็นว่าพี่สองคนดูเหมือนแฟนมากกว่านะ”

“เรื่องนี้ต้องถามแจบอมแล้วล่ะ ว่าเขาอยากเป็นแฟนกับพี่ไหม”

 

 

ณ จุดๆนี้คงเป็นผมที่เงียบที่สุดในบทสนทนา จะให้ตอบอะไรได้ละครับ กำลังเก็บอาการเขินอยู่ ได้แต่ก้มหน้าแล้วแอบยิ้มเล็กๆ จนกระทั่งบทสนทนาเงียบลงและการเดินออกไปของเจ้าของร่างเล็ก

 

 

 

“เขินหรอ?”

 

จากที่ก้มหน้าอยู่ก่อนก็ต้องสะดุ้งเมื่ออีกคนดึงแก้มเบาๆ เม้มปากเข้าหากันเพราะกำลังกลั้นยิ้มของตัวเอง

 

 

 

“ไม่ได้เขิน”

ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่สีหน้าที่ผมกำลังแสดงอยู่มันช่างแตกต่างกับคำพูดอย่างยิ่ง  มาร์คยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย รอยยิ้มที่เหมือนไฟมันกำลังทำให้ผมละลายได้อย่างดีเลย

 

 

 

“จะถือว่าไม่เห็นแล้วกันนะ”

“เพื่ออะไร?”

“หมายถึงอะไร?”

เขาถาม

“อ่า ถ้าหมายถึงเรื่องที่ทำอยู่นี่ยังดูไม่ออกอีกหรอว่าจีบอยู่?”

“ใครดูไม่ออกก็โง่เหมือนกระต่ายแล้วล่ะ”

“มันต้องเหมือนควายไม่ใช่หรอ?”

“อยากเหมือนกระต่ายไม่ได้อยากเหมือนควาย”

“งั้นฉันขอพานายไปเลี้ยงที่บ้านได้ไหม? เพราะฉันชอบกระต่าย”

เขายิ้มหลังจากจบประโยค

 

ระยะห่างของเราเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ มาร์คที่ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้โดยจงใจ ทำให้ลมหายใจของเขาลดอยู่เพียงปลายจมูก ผมเองที่กำลังจะขยับให้ออกห่างแต่กลับถูกมือหนาของอีกฝ่ายรั้งท้ายทอยให้เข้าใกล้ ริมผีปากที่ห่างอยู่ไม่กี่เซนยกยิ้มขึ้น

 

 

“รู้ใช่ไหมว่าฉันต้องการอะไร?”

 

 

มาร์คไม่รอคำตอบจากผมก็เข้ามาจู่โจมที่ปากผมอย่างรีบร้อนและเพียงไม่กี่วินาทีเขาก็เขาก็ถอนริมฝีปากออกไปสัมผัสร้อนผ่าวยังกรุ่นอยู่จนผมเผลอยกมือขึ้นจับปากของตัวเอง ตอนนี้ถึงจะไม่เห็นหน้าตัวเองก็มั่นใจว่ามันต้องแดงมากแน่ๆ

 

 

“กฎของการจูบคือนายต้องหลับตาสิ”

“กฎบ้าอะไรใครเขาสร้างมา  ห้ะ!”

“ฉัน”

 

 

ไม่คิดว่าใจของผมกำลังเต้นแรงขนาดนี้ การจู่โจมครั้งนี้มันกระทบถึงความรู้สึกของผมเป็นอย่างมากไม่คิดว่ามาร์คจะจูบผมกะทันหัน ตอนที่โดนริมฝีปากของอีกฝ่ายรุกล้ำแทบจะทำให้ผมลงไปกองอยู่กับพื้น ร่างกายมันก็ไม่มีเรี่ยวแรงเอาซะดื้อๆ เหมือนกำลังถูกไฟเผาเพราะมันร้อนผ่าวไปทั่วร่างกาย

 

 

ผมหันไปเห็นเจ้าของร่างที่จูบผมกำลังเดินออกไปข้างนอก นึกจะมาทำให้หวั่นก็ทำเนี้ยนะ ต้วน อี้เอิน

การสั่นของสมาร์ทโฟนทำให้ผมหันไปสนใจก่อนจะหยิบขึ้นมาดู มันมีข้อความข้อของแอปไลน์เด้งขึ้นมา

 

 

ต้วน : ไม่ต้องนั่งยิ้มอยู่คนเดียวนะแจบอมเดี๋ยวคนอื่นหาว่านายเป็นบ้า

แจบอม : อ่านแล้ว  4:21 PM

ต้วน : ต้องให้กลับไปจูบอีกรอบสินะถึงจะตอบ

แจบอม : ใช้อำนาจ

ต้วน : อืม ถ้าใช่แล้วนายจะปฏิเสธฉันลงอีกไหม?

แจบอม : ก็คิดเอาเอง

 

ผมนั่งรอข้อความของอีกฝ่ายแต่เขาก็ได้แต่อ่านแล้วไม่ตอบ ผมไม่เคยจะเดาได้เลยว่าเขาจะทำอะไร

 

ต้วน : ออกมาหน้าห้องสมุดหน่อยสิมีอะไรจะให้ดู

 

คิดว่าฉันใจง่ายขนาดที่จะทำตามคำขอของนายหรอ ต้วน เหอะก็ไม่เคยปฏิเสธอยู่แล้วนี่..

ผมออกมาหยุดอยู่ข้างหน้าห้องสมุด ฝั่งตรงข้ามคือตึกเรียนที่เพิ่งสร้างเสร็จ ผมหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาเจ้าของร่างที่สั่งผมแต่ก็ไม่มีวี่แวว จนกระทั่งผมเห็นแบนเนอร์ขนาดใหญ่กลางลงมาจากตึกฝั่งตรงข้าม ผมจึงเห็นมาร์คยืนอยู่ใต้ตึกนั่นด้วย นักเรียนที่อยู่ในบริเวณนั่นมีไม่เยอะมากเพราะมันเป็นเวลาที่เลิกเรียนไปได้สักพักใหญ่แล้วๆ ผมอ่านข้อความที่เขียนอยู่บนแบนเนอร์มันคือตัวอักษรที่เขียนว่าเป็นแฟนกันนะ ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจความหมาย

 

 

ต้วน : เป็น แฟน กัน นะ

แจบอม : ถ้าฉันตกลงช่วยรีบเก็บแบนเนอร์ด้วย นักเรียนคนอื่นเขามองกันใหญ่แล้ว

ต้วน : ว่าจะโชว์ไว้สักสองเดือน เพื่อคนอื่นยังไม่รู้

 

 

 

 

 

END.

 

 

 

 

 

 

 

Don’t cry {MARKxJAEBUM}

ถ้าการที่ไม่มีคุณอยู่ข้างกายผมแล้วมันทรมานขนาดนี้ได้โปรดช่วยฝังผมลงไปในธรณีที

 

 

 

แต่ละวันมันช่างดูมืดมนเหมือนโลกสีเทาของผมกำลังเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าตอนไหนที่ผมละเลยตัวเองได้ขนาดนี้ผมปล่อยให้เวลาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแต่กลับหยุดตัวเองไว้อยู่ที่เดิม ความเจ็บปวดที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ไม่สามารถรับมือได้เลย

 

“ขอโทษนะครับมีคนนั่งตรงนี้หรือเปล่า?” ผู้ชายตาตี่ที่กำลังมองหาที่นั่งเข้ามาถาม

 

“ไม่มีครับ” ผมตอบ แต่สายตาไม่อาจละจากคนด้านข้างได้เลย ดวงตาเรียวเล็กกับการแต่งตัวตามแบบผู้ชายที่ใส่ใจในด้านแฟชั่นทำให้ผมสนใจในตัวเขามากขึ้น

 

“มีอะไรแปลกหรอครับ?” เขาหันมาถามเมื่อเห็นสายตาของผมที่จ้องมองอยู่นาน พอได้ยินคำถามแบบนั้นแล้วก็ไม่รู้จะแก้ตัวออกไปยังไงเลยได้แต่ตอบไปตามตรง

 

“แค่คุณน่าสนใจจนผมเลิกมองไม่ได้” อ่าไม่รู้ตัวว่ามีความกล้าขนาดนั้นได้ยังไง ใจหนึ่งกลัวว่าคำตอบของผมจะทำให้เขาคิดว่าผมเป็นคนโรคจิต แต่กลับแปลกที่เขาเพียงแค่หัวเราะออกมาเล็กน้อยและส่งรอยยิ้มบางๆมาให้

 

“ผม อิมแจบอม ครับ” เขายิ้มก่อนที่จะแนะนำตัวเอง “หวังว่าเราจะได้รู้จักกันมากกว่านี้นะครับ”

 

 

สิ้นสุดบทสนทนาเพียงเล็กน้อยแจบอมก็ลุกจากที่นั่งและเดินออกจากร้านไป ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังไปอย่าหมดหวัง “แล้วเราจะรู้จักกันมากกว่านี้ได้ยังไงในเมื่อผมรู้แค่ชื่อของคุณ”เสียงเคาะกระจกด้านหน้าผมทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปพบกับแจบอมที่ยืนอยู่นอกร้านเขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งกำลังเขียนอะไรบางอย่างลงแผ่นกระดาษที่ว่างเปล่า ไม่นานนักเขานำกระดาษที่เขียนข้อความแล้ว ชูขึ้นเหนืออก ‘คราวหน้าผมคงได้เรียกชื่อคุณนะ xxx-xxx-xxxx’

 

 

ไม่รีรอให้เสียเวลาผมหยิบสมาร์ทโฟนสีขาวกดเบอร์ที่ได้จากคนตรงหน้าทันที ต่อสายหาเบอร์ที่คาดว่าจะเป็นของแจบอมอย่างใจร้อน จ้องมองออกไปที่ด้านหน้าเห็นเจ้าตัวหยิบโทรศัพท์มารับสาย

 

“ผม ต้วนอี้เอิน ’ไม่ต้องรอคราวหน้าหรอกนะ”

 

 

เวลาสามปีที่ทำให้ผมรู้จักแจบอมมันช่างยาวนานและมีความสุขกว่าตอนที่ผมไม่มีเขา แจบอมที่ดูจากภายนอกคงเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ยากแต่เปล่าเลย เขามีอัธยาศัยดี เป็นคนยิ้มง่าย เวลายิ้มแล้วเขาดูมีเสน่ห์ด้วยตาที่เป็นรูปสระอิ รอยยิ้มบางๆมักถูกแต่งแต้มตอนที่เขามีความสุข แจบอมมักพูดกับผมเสมอเมื่อเวลาไม่มีเขาแล้วผมต้องอยู่ให้ได้ เวลาที่เราจากกันแล้วผมจะต้องไม่ร้องไห้ มันดูเหมือนง่ายแต่เอาเข้าจริงๆเมื่อถึงเวลานั้นผมคงทำไม่ได้

 

 

 

โลกใบใหม่ที่มีแจบอมอยู่ด้วยมันมีอิทธิพลกับผมอย่างมาก ผมอยากจะบอกขอบคุณที่วันนั่นเขามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า อยากจะขอบคุณที่เขาเดินเคียงข้างผมมาโดยตลอด

 

“ตัวนั้นน่ารักนะมาร์ค” แจบอมที่หันมาพูดกับผมกำลังชื่นชมกระต่ายขนฟูสีน้ำตาลอ่อนพันธุ์วู๊ดดี้ทอย

 

“อ่า ตัวนั้นก็น่ารัก” แจบอมที่กำลังสนใจกระต่ายไม่รับรู้เลยว่ามีสายตาอื่นๆจับจ้องมาที่เขาอยู่ เขาจะรู้ตัวไหมว่าตัวเองกำลังทำตัวน่ารักกว่ากระต่ายที่นอนตัวกลมอยู่ด้านหน้า ท่าทางที่กำลังเล่นกับสัตว์ตัวเล็กอย่างสนุกสนานทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้

 

“มาร์ค เราเอาเจ้าตัวเล็กนี้กลับบ้านด้วยได้ไหม?” สายตาที่กำลังอ้อนวอนผมทำให้ใจผมอ่อนอย่างง่ายดาย

 

“เป็นโรคแพ้ขนสัตว์แล้วยังจะเลี้ยงอีกหรอ?” เขาทำหน้าหงอยไปหลังจากโดนตำหนิ จริงๆเลยผมไม่เคยปฏิเสธคำขอร้องจากแจบอมได้เลย “โอเค แต่ถ้าอาการหนักขึ้นต้องเอาไปให้คนอื่นเลี้ยงนะ”

 

 

เขาพยักพเยิดหน้าอย่างดีใจก่อนที่จะไปเลือกซื้อของใช้ให้สมาชิกใหม่ของบ้านอย่างร่าเริง

 

 

แจบอมไม่ใช่คนแรกที่ทำให้ผมหลงรักแต่แจบอมเป็นคนแรกที่สามารถจัดการโลกทั้งใบของผมได้ เราวาดฝันหลายสิ่งไว้ด้วยกัน เส้นทางในชีวิตถูกร่างขึ้นเมื่ออีกครึ่งชีวิตของผมกลายเป็นของแจบอม ความฝันที่เราจะได้ตื่นนอนและพบแสงอาทิตย์อ่อนๆของยามเช้าในมัลดีฟส์ เราจะใช้ชีวิตแบบเศรษฐีสักหนึ่งวันและเราจะกินดินเนอร์สุดหรูในร้านอาหารชื่อดัง และเราจะมีความสุขด้วยกัน

 

 

ลืมตาขึ้นมาในกลางดึกเห็นแผ่นหลังของอีกคนอยู่ตรงหน้าเลยขยับตัวเบาๆเข้าไปสวมกอด กลิ่นหอมจากแชมพูสระผมของแจบอมทำให้ผมฝังจมูกลงบนผมสั้นสีควันบุหรี่ แต่ดูเหมือนจะเบาไม่พอทำให้แจบอมขยับตัวเล็กน้อย สัมผัสถึงความอุ่นจากตัวของคนตรงหน้ามันทำให้ผมเริ่มสัมผัสไปทั่วแก้มขาวดวงตายังคงปิดสนิทเห็นแบบนั้นแล้วจึงถือโอกาสจูบลงบนปากหยักของอีกคน การหายใจที่เป็นจังหวะรดอยู่ข้างแก้มผม ผละออกมาเบาๆเพราะกลัวอีกคนจะตื่นแล้วล้มตัวกลับมานอนที่เดิม

“คิดว่าหลับอยู่หรอ?” เสียงของอีกคนเอ่ยหลังจากผมล้มตัวมานอน

 

“ถ้าตื่นก็จะทำมากกว่านี้ไง” แจบอมพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากับผมที่กอดเอวเขาไว้แน่น

 

 

ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นจากอาการเขินเล็กน้อยของแจบอม ทำให้ผมแทบคลั่ง เพียงรอยยิ้มเล็กน้อยก็ทำให้ใจผมสั่นได้เหมือนวันแรกที่เราเจอกัน มันเป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆจนผมเสพติดเขา เสพติดรอยยิ้ม เสพติดรสชาติหอมหวานจากการจูบ ผมเสพติดแจบอมเหมือนยาที่ต้องที่กินหลังอาหาร

 

“ยังไม่ได้รับอนุญาต”

 

“ต้องขอด้วยหรอ?”

 

ผมยิ้มเมื่อคำพูดเอ่ยออกไปทำให้อีกคนไม่ได้โต้ตอบกลับ

เป็นเพราะการที่ผมจะจูบหรือกอดเขาเขาก็ไม่เคยปฏิเสธมันสักครั้ง

 

 

ลูบไล้ยังเส้นผมนุ่มราวกับว่าเขาเป็นเด็กน้อยตัวเล็กที่ต้องการแม่คอยกล่อมให้หลับในเวลากลางคืน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาดูดีจนผมอยากจะจับต้อง อยากจะเก็บไว้ในขวดแก้วแล้วพกติดตัวตลอดเวลา

 

ลมหายใจที่กำลังหอบกระหืดของเราสองคนหลังจากเสร็จกิจกรรมส่วนตัว ดังทั่วห้องนอนที่มืด เหงื่อไหลมาตามโครงหน้าได้รูปทั้งที่เครื่องปรับอากาศยังคงเปิดอยู่ เริ่มปรับลมหายใจของตัวเองให้คงที่ หันไปมองผู้ชายที่ผมรักนอนอยู่ด้านข้างด้วยอาการเหนื่อย ผมคิดว่าผมต้องการเขาเหมือนเขาเองที่ต้องการผม

 

“ถ้าวันหนึ่งเราต้องจากกันจริงๆ สัญญากับฉันนะว่านายต้องอยู่ให้ได้มาร์ค” คนตาตี่เอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน

 

“ถ้าถึงวันนั้นแล้วจริงๆฉันคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป”

 

“เรื่องของโชคชะตาเรากำหนดไม่ได้หรอกนะ”

 

“แล้วนายจะทิ้งฉันไปหรอ แจบอม?” ผมถามเขา

 

เขาไม่ได้ตอบคำถามของผมแต่เพียงแค่ยิ้มมาให้ และพลิกตัวกลับไป แผ่นหลังเปลือยเปล่าที่ปรากฏทำให้ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มเกาะกินในใจ ผมรู้ว่าความรักมันมีจุดอิ่มตัว ผมเตรียมใจรับเรื่องแบบนี้ได้ตั้งนานแล้ว แต่กลับแจบอมผมรับมืออะไรไม่ได้เลยถ้าหากวันหนึ่งเขาจะทิ้งผมไป ไม่ใช่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะให้โลกของผมหายไป

 

“ฉันไม่ได้จะทิ้งนายหรอกนะมาร์คอย่าคิดมาก แค่พูดเพื่อเอาไว้สักวันถ้าเราจำเป็นต้องจากการจริงๆฉันไม่อยากเห็นน้ำตาของนายก็เท่านั้น” เขาเอ่ยขึ้นเพื่อย้ำความมั่นใจให้ผม

 

 

“จะห้ามยังไงก็ต้องมีน้ำตาไม่ใช่หรอ” ผมพูดออกไปเบาๆเพราะกลัวคนข้างกายจะได้ยิน

 

 

 

ในโบสถ์ขนาดไม่ใหญ่นักผมนั่งอยู่ข้างหน้าของโบสถ์ ผมจ้องมองไปยังรูปปั้นของพระเยซู สายตาที่เลื่อนลอยกำลังพร่ามั่วเพราะน้ำตาออกมา “ทำไมท่านถึงกลั้นแกล้งลูกแบบนี้ล่ะ?” คำถามที่ต้องการคำตอบจากรูปปั้น ชั่งงี่เง่าสิ้นดี ไร้สติเหมือนกับคนบ้าพร่ำถามคำถามเดิมๆออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าข้างกายกำลังรู้สึกร้อนขึ้นเหมือนมีคนมานั่งอยู่ด้านข้าง

 

 

มองกลับไปแต่ที่นั่งด้านข้างยังคงว่างเปล่า “อย่าทำตัวเหมือนเป็นคนโง่ที่ไม่มีชีวิตสักที ต่อให้ร้องไห้ออกมามากแค่ไหนคนที่ลูกอยากให้กลับมาเขาก็กลับมาไม่ได้” บาทหลวงท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผมร้องไห้อยู่นาน ผมแค่ผงกหัวให้กับคำพูดเพื่อเป็นมารยาท ถึงอย่างงั้นแล้วผมยังคงร้องไห้ออกมาเหมือนคนบ้า

 

 

21 ธันวาคมวันครบรอบห้าปี เราทำมันเหมือนทุกๆปี ออกไปกินข้าวนอกบ้านและเที่ยวเล่นกันเหมือนเด็กๆมันไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าทุกๆปี แต่มันพิเศษเพราะมีแจบอมเป็นคนมอบความรักให้ ร่างกายที่สัมผัสพื้นดินรับรู้ถึงความชื้นของหญ้า

 

“ขอบคุณนะ” แจบอมหันมาพูดกับผม

 

“เรื่องอะไรล่ะ?”

 

“ทุกๆเรื่อง ทุกๆการกระทำ ฉันรักนายมากเกินกว่าจะเห็นน้ำตาของนายได้”

 

“ตราบใดที่นายยังอยู่ข้างกายนายจะไม่มีวันเห็นน้ำตาของฉันหรอก”

 

 

ไม่ต้องการคำพูดอะไรอีกแค่สายตาก็บ่งบอกได้ถึงความรู้สึกทั้งหมด อากาศรอบข้างยังคงที่มีแต่ตัวเราสองคนเท่านั้นที่อุณภูมิในร่างกายกำลังร้อนขึ้น ก้มลงจูบคนที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่รีบร้อนผมกำลังมอบจูบที่อ่อนโยนให้กับคนรักอย่างไม่เบื่อ “อยู่จนกว่าฉันจะบอกให้นายไป” ผมกระซิบที่ข้างหูของเขาอย่างแผ่วเบา

 

 

อย่าไปไม่ว่ายังไง อย่าเดินไปจากฉันแม้แต่ก้าวเดียว

 

 

 

ผมยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม ยังคงถามพระเจ้าซ้ำไปซ้ำมาผม ว่าทำไมต้องให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ทำไมต้องเป็นผมที่ต้องมาทุกข์ทรมาน ได้โปรดฝังผมไปพร้อมกับร่างของคนที่ผมรัก หลับตาลงก็ยังคงเห็นภาพเดิมฉายวนเหมือนหนังไม่มีวันจบ

 

 

ร่างของคนรักกำลังลอยออกไปจากแรงกระแทกของรถยนต์ ราวกับว่าเวลาหยุดเดิน ภาพที่เห็นทำให้ดวงตาเบิกโพลงขึ้น คนที่กำลังเดินขวักไขว่อยู่ใจกลางสี่แยกหยุดมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกใจ เมื่อรถยนต์คันหนึ่งพุงชนร่างผู้ชายที่อยู่ข้างร้านกาแฟกระเด็นห่างออกไป ผมไม่สนใจกาแฟที่เสร็จจากการรอคอย รีบวิ่งไปหาร่างที่นอนแน่นิ่ง น้ำตาทำงานอย่ารู้หน้าที่มันไหลออกมาทันที่เมื่อภาพปรากฏชัดขึ้น

 

 

“แจบอม” ผมเรียกชื่อคนรักพร้อมทั้งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า กลิ่นเลือดกำลังลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ ผมโอบกอดร่างของแจบอมไว้แน่น

 

“ก็บอกแล้วไงอย่าร้องไห้” เสียงแผ่วเบาพูดขึ้น

 

“อย่าพูดสิ เดี๋ยวรถพยาบาลก็มาแล้ว ทนอีกหน่อยนะ” แจบอมยังคงยิ้มแม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

 

“สัญญากันแล้วหนิ” แจบอมเอื้อมมือที่อ่อนแรงเต็มทีขึ้นมาลูบแก้มผม ผมจับมือที่เต็มไปด้วยเลือดของเขามาจูบ

 

ถึงแม้เสียงรอบข้างจะดัง ถึงแม้คนหลายร้อยคนกำลังมุ่งดูเหตุการณ์แต่ผมกลับเหมือนมีแค่เราสองคนอยู่ตรงนั้น

 

“ใครสัญญาด้วย ถ้านายหลับฉันจะโกรธนายจริงๆนะแจบอม” ทุกคำพูดชั่งเอ่ยออกไปยากเย็นเมื่อน้ำตามันไม่ยอมหยุด

 

“อื้อ ไม่หลับหรอก” เสียงเริ่มแผ่วเบากว่าเดิม ตาเรียวเล็กกำลังปิดลงอย่างช้าๆ สมองผมโล่งไปหมดมันเห็นแต่ภาพคนตรงหน้าไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ

 

“แจบอม” เริ่มเขย่าตัวของอีกคนเมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงตอบรับ “แจบอม อย่าล้อเล่นสิ แบบนี้มันไม่ตลกนะ” เสียงตะกุกตะกักยิ่งกว่าเดิมน้ำตาก็ช่วยอะไรไม่ได้แต่ถึงอย่างงั้นผมกลับร้องไห้เหมือนคนบ้าและประคองร่างร่างไร้วิญญาณกอดเอาไว้แน่น

 

 

 

ก็บอกแล้วไงว่าอย่าไปจนกว่าฉันจะบอกให้ไป

 

 

 

 

“ยังร้องไห้อยู่อีกหรอ?”  เสียงเดิมลอยเข้ามาในสมอง ผมกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างมีหวังแต่กลับว่างเปล่าอีกเช่นเคย ผมคิดถึงเขามาเกินไป เกินกว่าที่จะทนอยู่ได้ ในแต่ละค่ำคืนผมเอาแต่ร้องไห้และสวดภาวนาให้ปาฏิหาริย์มีจริง

 

 

 

แรงกอดจากข้างหลังทำเอาผมสะดุ้งมือเดิมที่คุ้นเคยกำลังโอบกอดผมเอาไว้ “เลิกร้องได้แล้วนะ” คนด้านหลังปล่อยให้ผมเป็นอิสระจากการกอด ผมรีบหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากลับอีกคน ใบหน้า ดวงตา จมูก ริมฝีปาก ที่คิดถึงปรากฏอยู่ตรงหน้า เขายิ้มเหมือนที่เคยทำมาตลอด ไม่รีรอให้เวลาผ่านไปเฉยๆผมกอดร่างที่คิดถึงแน่น

 

 

 

 

“คิดถึง” เพียงทันทีที่พูดน้ำตาก็เริ่มไหล “เราจะอยู่ด้วยกันใช่ไหม นายจะไม่ทิ้งฉันไปไหนแล้วใช่ไหม แจบอม?”

 

 

“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ นายควรจะอยู่ในที่ที่นายควรอยู่” ยิ่งได้ยินคำพูดของเขาทำให้กอดเขาแน่นขึ้น

 

 

 

“หมดเวลาของเราแล้วมาร์ค ฉันรักนาย”

 

 

 

ไม่ทันที่จะได้บอกความรู้สึกร่างที่เคยกอดเอาไว้แน่นกลับหายดังอากาศ ทรุดตัวลงบนพื้นและเริ่มร้องไห้อีกครั้ง ทำได้เพียงเท่านั้น ผมอยากจะหยุดเวลาเอาไว้ เวลาที่โลกของผมยังคงอยู่ เวลาที่เราเคยมีความสุขด้วยกัน เวลาที่เห็นรอยยิ้มของอีกคนส่งมาให้ในวันที่ผมเหนื่อยล้า ทำไมเราต้องจากกันด้วยล่ะ?

 

 

แสงสีขาวโพนทำให้ผมปรับโฟกัสกับภาพที่เห็นได้ช้า แค่ฝันผมเห็นและสัมผัสเขาได้แค่ในฝัน ยังคงเป็นรูปปั้นพระเยซูที่อยู่ตรงหน้า ลุกออกจากเก้าอี้ด้านหน้าของโบสถ์เพื่อไปยังสุสาน ผ่านหลุมศพหลายหลุม จนมาหยุดกับหลุมศพของคนที่รัก แม้เวลาจะผ่านไปสองปี แต่ผมกลับทำเหมือนว่ามันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานเพราะความเจ็บปวดของผมมันไม่เคยชินเลยสักที ผมชินไปกับการมาที่โบสถ์และหลุมศพทุกวัน ผมชินกับการร้องไห้ แต่ไม่ชินกับการที่ไม่มีแจบอมอยู่ด้วยเลย

 

 

ความฝันที่วาดกันเอาไว้ผมไม่ได้อยากจะทำมันตัวคนเดียว เพราะในเมื่อไม่มีแจบอมความฝันของเราก็ดูเหมือนไร้ค่าขึ้นมาทันที ผมอยากให้มันเป็นเพียงฝันร้าย ตื่นขึ้นมายังคงพบว่าเรานอนกอดกันอยู่บนเตียงแม้ว่ามันจะเลยเวลาอาหารเที่ยงแล้วก็ตาม และถ้านี้ยังเป็นความฝันที่ผมต้องเผชิญมันคนเดียวผมคงเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด เอนตัวนอนข้างๆหลุมศพพร้อมหลับตาเบาๆ

 

 

 

 

 

 

“หวังว่าวันหนึ่งเราจะได้อยู่ด้วยกันอีกนะ”

 

 

 

 

 

“แล้วฉันสัญญาว่าจะไม่ร้องไห้อีกเลย…”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Talk With Me.

ตอนแต่งเรารู้สึกว่าจะร้องไห้เพราะสงสารพี่ต้วนมาก ฮือ

รู้สึกหมดพลังตอนแต่งเสร็จเลย เราก็ไม่ได้อยากทำร้าย

ต้วนเกอสักเท่าไหร่ แต่คิดพล็อตได้ก็เลยรีบแต่งเดี๋ยวจะ

หมดอารมณ์

ปล.ฟังเพลงด้วยนะไม่ใช่อะไรหรอกโดยส่วนตัวเราชอบเพลง

นี้ 55555555